น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย(พท.) ในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย นั่งโต๊ะแถลงข่าวการตกลงจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับอีก 4 พรรคการเมือง โดยมี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ตัวแทนพรรคชาติไทยพัฒนา นพ.วรรณรัจน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน หัวหน้าพรรคมหาชน และ หัวหน้าพรรคพลังชล ร่วมแถลงในการจัดตั้งรัฐบาลด้วย โดยเมื่อรวมทั้ง 5 พรรคแล้วรัฐบาลจะมีเสียง 299 เสียง
"รัฐบาล 299 เสียงจะมีเสถียรภาพเพียงพอในการเข้ามาทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน ซึ่งทั้ง 5 พรรค มีเจตนารมย์ตรงกัน" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว พร้อมระบุว่าสิ่งที่ทั้ง 5 พรรคการเมืองเห็นพ้องกันถึงภาระกิจเร่งด่วนที่ควรต้องดำเนินการ ได้แก่ 1.การทำให้ประเทศชาติเกิดความปรองดอง ซึ่งจะมอบหมายให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) รับไปดำเนินการต่อไป ขณะที่จะมีการตั้งทีมคณะกรรมการอิสระขึ้นเพื่อทำงานร่วมกันด้วย แต่ทั้งนี้พรรคจะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงาน เพื่อให้เกิดความเป็นอิสระและโปร่งใสมากที่สุด
2.การจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้คนไทยทุกคนร่วมกันถวายพระพรและแสดงความจงรักภักดี 3.การพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็ว โดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาราคาสินค้า, ค่าครองชีพ 4.การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน
5.การสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ข้าราชการ เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้แก่ประเทศชาติได้เดินหน้าต่อได้ 6.การแก้ปัญหาคอรัปชั่น โดยให้ประชาชนสบายใจได้ว่าสามารถตรวจสอบการทำงานของทุกพรรคการเมืองได้ และ 7.พรรคเพื่อไทยจะนำนโยบายที่ได้ประกาศวิสัยทัศน์ประเทศไทย 2020 ไว้เมื่อวันที่ 1 ก.ค.มาหารือกับทุกพรรคร่วม เพื่อเพิ่มเติมแผนการทำงานในการแก้ไขปัญหาของประชาชนให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) กล่าวว่า พรรคได้รับการทาบทามเมื่อคืนนี้ และได้ตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ส่วนรายละเอียดทั้งหมดนั้นนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค จะได้หารือกับว่าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป
ด้านนพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน(ชพน.) กล่าวขอบคุณ น.ส.ยิ่งลักณ์ และพรรคเพื่อไทยที่ให้เกียรติเชิญเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคยินดีตอบรับคำเชิญครั้งนี้ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ 1.พรรคเพื่อไทยได้รับความไว้วางใจจากคนไทยทั้งประเทศไทย เพราะที่ได้ที่นั่งเกินกว่าครึ่งซึ่งถือว่าได้ความชอบธรรม และ ชพน.เห็นด้วยที่จะสนับสนุนน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
2.ชพน.เคยมีประสบการณ์ในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยมาแล้วในอดีต ซึ่งได้รับความร่วมมือในการทำงานเป็นอย่างดี และ 3. เจตนารมย์ในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งให้หมดไปเพื่อสร้างความปรองดอง และเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อบ ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่เห็นตรงกัน
นายเชาวน์ มณีวงษ์ หัวหน้าพรรคพลังชล กล่าวว่า พรรคพลังชลขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ให้โอกาสพรรคเข้าร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ได้เริ่มดำเนินการทางการเมือง ต่างมีนโยบายและจุดประสงค์ของพรรคที่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติ และเรื่องการเมืองที่จะต้องปรับแก้ไขต่อไป รวมถึงปัญหาด้านสังคม โดยเฉพาะเยาวชน และที่สำคัญคือเรื่องการปรองดองสมานฉันท์เพราะเป็นหัวใจของการทำงานของประเทศชาติ
ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยรู้สึกเป็นเกียรติ อบอุ่นและมั่นใจที่จะทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป
"ขอบคุณหัวหน้าพรรคอีก 4 พรรคที่ได้มาเป็นเพื่อนที่จะเดินหน้าไปด้วยกันในการบริหารประเทศ ผมจะได้นำเรื่องต่างๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้คณะกรรมการบริหารของพรรคได้พิจารณาลงมติเห็นชอบต่อไปทุกขั้นตอนตามระเบียบข้อบังคับของพรรค" นายยงยุทธ กล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายที่จะนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้พรรคได้แถลงจุดยืนไปแล้ว โดยขอให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการอิสระฯ ชุดที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร
"เราเคยแถลงจุดยืนไปแล้วว่าจะไม่นิรโทษกรรมหรือแก้กฎหมายให้คนคนเดียว จะให้คณะกรรมการฯ ชุดของอาจาย์คณิต ได้พิจารณาอย่างเป็นอิสระ การดำเนินการอย่างไรนั้นขึ้นกับคณะกรรมการฯ และการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปอย่างเสมอภาค เท่าเที่ยมภายใต้กฎกติกาของหลักนิติธรรม" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า เรื่องการปรองดองนี้ได้บรรจุไว้ในนโยบายของพรรคเพื่อไทย และจะนำไปหารือกับคณะกรรมการอิสระฯ เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดการปรองดองขึ้นโดยเร็วที่สุด
ส่วนความชัดเจนของหน้าตาคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คงต้องรอให้ผ่านพ้นกระบวนการทางรัฐสภาก่อน ถึงจะมีการชี้แจงถึงรายชื่อรัฐมนตรีได้ ทั้งนี้ยืนยันว่าจะสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงให้มีความเหมาะสม เพราะการบริหารประเทศถือเป็นผลงานของรัฐบาลร่วมกัน อย่างไรก็ดีนโยบายใดในรัฐบาลชุดก่อนทำไว้และเป็นเรื่องดีก็พร้อมจะสานต่อในรัฐบาลชุดนี้ แต่บางนโยบายอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนในรัฐบาลชุดนี้ เช่น การเปลี่ยนจากนโยบายประกันราคามาเป็นนโยบายรับจำนำข้าว เป็นต้น