นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้กรณีที่นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ ระบุว่าเป็นหน้าที่ของว่าที่ของรัฐมนตรีต่างประเทศคนต่อไปที่ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ก่อไว้ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ว่าคำวินิจฉัยของศาลโลกดังกล่าวนั้นทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในทุกกรณี
"ถ้านายนพดล ไม่เคยเป็น รมว.ต่างประเทศ ประเทศไทยคงไม่มีประเด็นใดที่ทำให้เสียเปรียบต่อประเทศเพื่อนบ้านจากการดำเนินนโยบายทำให้ประเทศเสียผลประโยชน์ และเกิดประเด็นปัญหาตามมาดังที่หลายฝ่ายได้วิพากษ์วิจารณ์ และศาลได้มีคำวินิจฉัยตัดสินแล้วว่าเป็นการดำเนินการที่ผิด ทั้งต่อกฎหมาย จนเป็นคดีแรกที่ทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองมีคำวินิจฉัยตรงกันว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ คำวินิจฉัยดังกล่าวพิสูจน์ชัดว่าข้อเรียกร้องของกัมพูชาไม่ได้รับการสนองตอบ และไม่สามารถที่จะทำให้ประเทศไทยเสียความชอบธรรมในการดำเนินนโยบายต่างประเทศตามข้อร้องเรียนของกัมพูชาได้ระบุไว้ได้สำเร็จ
นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า หากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในข้อต่อสู้นั้น น่าจะเกิดขึ้นจากการออกแถลงการณ์ร่วมสมัยที่นายนพดล เป็นรมว.ต่างประเทศ และแม้มีคำวินิจฉัยทั้งสองศาลมาหักล้างแล้ว แต่ก็มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ประกอบกับการให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศของ พ.ต.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่บอกว่าเหตุการณ์กระทบกระทั่งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นการดำเนินการที่ริเร่มขึ้นก่อนโดยฝ่ายไทย ซึ่งตรงกับข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จของฝ่ายกัมพูชา เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเพราะถ้อยคำดังกล่าวนั้นรัฐบาลประชาธิปัตย์ต้องแก้ไข และสะสางปัญหาที่ก่อขึ้นมาโดยรัฐบาลทักษิณ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาร้องเรียนให้ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนลาออกจากรายงานการตรวจสอบกรณีเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 53 นั้นว่า พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องการเห็นภาพของการกดดัน คุกคาม แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระในรูปแบบต่างๆ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พรรคยืนยันว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงของทุกหน่วยงานนั้น ควรจะดำเนินการโดยปราศจากการแทรกแซงและการคุกคามทุกรูปแบบ