ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ 30 แห่ง จำนวน 78 คน เรื่อง “ความเชื่อมั่นของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อทีมเศรษฐกิจ ครม. ยิ่งลักษณ์" นำทีมโดย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ(เศรษฐกิจ) และรมว.พาณิชย์, นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 48.7 ไม่ค่อยเชื่อมั่นในความรู้ความสามารถของทีมเศรษฐกิจ ครม. ยิ่งลักษณ์ รองลงมาร้อยละ 28.2 มีความเชื่อมั่นค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ด้านความเชื่อมั่นต่อการบริหารเศรษฐกิจ หรือ GDP ให้ขยายตัวไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ต่อปีตามที่หาเสียงไว้ ร้อยละ 44.9 เชื่อว่า “สามารถทำได้" ขณะที่ร้อยละ 24.4 เชื่อว่า “ไม่สามารถทำได้"
ส่วนความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการราคาสินค้า หรือ ภาวะเงินเฟ้อ ไม่ให้สูงกว่าร้อยละ 5 ต่อปีนั้น ร้อยละ 43.6 เชื่อว่า “ไม่สามารถบริหารจัดการได้" ขณะที่ร้อยละ 35.9 เชื่อว่า “สามารถบริหารจัดการได้"
สำหรับประเด็นการกำหนดกรอบนโยบายงบประมาณให้กลับสู่งบสมดุลภายใน ปี 2555 ตามที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้หารือไว้กับสภาพัฒน์ฯ นั้น นักเศรษฐศาสตร์มากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 57.7) เห็นว่า รัฐบาลชุดใหม่ควรกำหนดกรอบนโยบายงบประมาณให้กลับสู่งบสมดุลภายในปี 2555 ตามกรอบเดิม
ด้านปัญหาหนี้สาธารณะที่กำลังบั่นทอนเศรษฐกิจของประเทศแถบตะวันตกในเวลานี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเหมือนเมื่อครั้งเกิด Hamburger Crisis ในช่วงปลายปี 2551 อย่างไร นักเศรษฐศาสตร์กว่าครึ่งเช่นกัน (ร้อยละ 61.5) เห็นว่าผลกระทบรอบนี้จะรุนแรงน้อยกว่ารอบที่ผ่านมา เมื่อถามถึงระยะเวลาที่เศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและกลุ่มยูโรโซน จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ร้อยละ 43.6 เชื่อว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 4-5 ปี รองลงมาร้อยละ 30.8 เชื่อว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 5-10 ปี
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์มีข้อเสนอแนะต่อทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ในการบริหารเศรษฐกิจ การเงิน การคลังของประเทศ รวมถึงการแถลงนโยบายด้านเศรษฐกิจต่อรัฐสภา คือ 1.ให้บริหารเศรษฐกิจด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจน วิเคราะห์สถานการณ์ให้แจ่มชัด และไม่มีการคอร์รัปชันรวมถึงการหวังผลทางการเมือง (ร้อยละ 33.3)
2.ให้รักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างยิ่งยวด บริหารหนี้สาธารณะอย่างเคร่งครัด โดยดูบทเรียนจากสิ่งที่ประเทศตะวันตกกำลังประสบอยู่ (ร้อยละ 28.9) 3.ให้รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระยะยาว ป้องกันไม่ให้เกิดเงินเฟ้อซึ่งจะสร้างความลำเค็ญให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากนโยบายของรัฐบาลเลย (ร้อยละ 22.2)