นายเกียรติ สิทธีอมร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า ไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะดำเนินการนโยบายการรับจำนำได้สำเร็จ เพราะสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 51 การรับจำนำข้าวทำให้ขาดทุนถึง 1.6 หมื่นล้านบาท และยังเกิดระบบโควต้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับเฉพาะผู้ส่งออกรายใหญ่ อีกทั้งยังมีงานวิจัยจากสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)ระบุว่าระบบจำนำช่วยเหลือเกษตรกรเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นและมีการสวมสิทธิข้าวของประเทศเพื่อนบ้านถึง 5-6 แสนตันด้วย
อีกประเด็นที่รัฐบาลยังไม่ได้ให้ความสำคัญ คือ ข้อตกลงขององค์กรการค้าโลก(WTO)ห้ามไม่ให้รัฐบาลมีการเข้าไปแทรกแซงกลไก แต่มีข้อยกเว้นว่ากระทำได้ไม่เกิน 10% ซึ่งการที่จะใช้เงินถึง 4.72 แสนล้านบาท และต้องขายในราคาที่ขาดทุน 1.5 แสนล้านบาท จะเข้าข่ายละเมิดระเบียบ WTO หรือไม่ และหากนำไปสู่การฟ้องร้องระหว่างประเทศ รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร เพราะประเทศคู่แข่งก็จะตอบโต้ไทยด้วยมาตรการกีดกันทางการค้า ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมด้านอื่นๆที่ต้องพึ่งพาการส่งออก เสี่ยงต่อการตกงาน และคนไทยต้องกินข้าวแพงกว่าตลาดโลก และต้องหันไปกินข้าวเวียดนามก็ได้ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลกล้าทำกล้าคิดก็ต้องรับผิดชอบด้วย
ด้านนายนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า การจำนำข้าวจะต้องมีปัญหาเรื่องการเก็บสต็อกข้าว ซึ่งรัฐบาลไม่มีโกดังของตัวเองต้องเสียค่าเช่าและที่ผ่านมาและบางล็อตก็ขายไม่ออก จนสมัยที่ตนมารับตำแหน่งรองนายกฯ พบว่ามีข้าวสะสมอยู่ในสต็อกมาตั้งแต่หลายรัฐบาลก่อนๆ รวมแล้ว 5.6 ล้านตัน ต้องเสียค่าเช่าโกดังรวมกับค่าดอกเบี้ยเป็นเงินปีละ 1 หมื่นล้านบาท และข้าวบางล็อตอยู่ในสต็อกมานานกว่า 8 ปี ยังไม่สามารถขายออก
และการรับจำนำของประเทศไทยมีการดึงข้าวมาเก็บไว้ในสต็อก จึงทำให้ข้าวไม่ออกสู่ตลาดโลกส่งผลให้ข้าวจากต่างประเทศราคาดีขึ้น อีกทั้งการตั้งราคาประกันไว้สูง ทำให้เกษตรกรไม่สนใจลดต้นทุนการผลิต ต่างจากประเทศเวียดนามที่พัฒนาทั้งเรื่องชลประทาน ปุ๋ย พันธุ์ข้าวเพื่อลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เรื่องการตลาดขณะนี้เริ่มเป็นปัญหา เพราะไทยขายออกในราคาตันละ 625เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่เวียดนามขาย 570 เหรียญสหรัฐ/ตัน คนส่วนใหญ่จึงหันไปซื้อเวียดนามหมด ประเทศไทยจะมาทะนงตนว่าเป็นข้าวรีเมียมไม่ได้อีกต่อไป เพราะทุกวันนี้คุณภาพข้าวหอมมะลิเวียดนามก็ใกล้เคียงกับข้าวไทยมาก