นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองสีเขียว กล่าวว่า การแต่งตั้งแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มเสื้อแดงมาเป็นข้าราชการเมืองในหลายตำแหน่งนั้น เท่ากับเป็นสายล่อฟ้อกำหนดชะตากรรมของรัฐบาลชุดนี้
เพราะถ้าคิดว่าการดึงแกนนำ นปช.เข้ามาอยู่ในอำนาจรัฐจะทำให้รัฐบาลแข็งแกร่งและอยู่ได้นาน ถือว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะเมื่อไหร่ก็ตามถ้าขั้วอำนาจหนึ่งถืออำนาจก็เป็นไปได้ที่จะใช้อำนาจนั้นฟูมฟักพวกเดียวกันเองและเล่นงานฝ่ายตรงกันข้าม หรือเข้าสู่การเมืองยุคทีใครทีมัน ความแตกแยกในสังคมยิ่งจะทวีความรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ หากดูวิวัฒนาการของรัฐบาลนอมินี 3 ชุด ตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และปัจจุบัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเห็นเงาของความก้าวร้าวมากขึ้นตามลำดับ แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้สรุปบทเรียนในยุคที่ถืออำนาจเบ็ดเสร็จโดยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยมีเสียงข้างมากพรรคเดียว 376 เสียง ถือทุกองคาพยพในอำนาจไว้กับมือก็ยังถูกโค่นล้มได้เพราะใช้อำนาจไม่เป็นธรรม
นายสุริยะใส กล่าวว่า แกนนำ นปช.ควรนึกถึงบทสัมภาษณ์ของนายวีระกานต์ มุสิกพงษ์ อดีตประธาน นปช.ที่เคยเตือนไว้ก่อนหน้านี้ว่า "เสื้อแดงแม้จะมีจำนวนมาก ในระยะหนึ่งมีอำนาจสูงก็จริง แต่ถ้าไม่เข้าใจสถานภาพของตัวเองก็พังได้ เพราะการเมืองภาคประชาชนมันต้องรู้จุดยืนว่ายืนอยู่ที่ไหน เมื่อเสร็จเลือกตั้งเราต้องหวนกลับไปทำการเมืองภาคประชาชน ถ้าคลุกอยู่แต่ระบบรัฐสภา เรื่องนั้นก็จะยุ่ง"
นอกจากนี้ เห็นว่ารัฐบาลจะอยู่ได้นานหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งมวลชนเสื้อแดงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ผลงาน ความชอบธรรมในการใช้อำนาจ และความสำเร็จในการบังคับใช้นโยบาย แต่ตอนนี้รัฐบาลกลับกำลังคิดว่าอำนาจคือความชอบธรรม ทำอะไรก็ได้ไม่สนใจความถูกต้อง และยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อสภา แต่ยังไม่ทันไรก็ฉีกหลักธรรมาภิบาลทิ้งด้วยตัวรัฐบาลเอง
"สังคมการเมืองไทยตกอยู่ในวังวงของอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวจากระบอบทักษิณมาร่วม 6 ปีแล้ว เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่ายได้โอกาสกลับสู่อำนาจอีกครั้งก็น่าจะคิดได้ แก้ไขในสิ่งที่เคยผิดพลาด เพราะไม่มีใครถืออำนาจไว้ตลอดชีวิตได้ ที่สำคัญชะตากรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ก็เป็นผลพวงจากการมัวเมาอำนาจจนใช้อำนาจผิดพลาดนั่นเอง" นายสุริยะใส กล่าว