น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า แนวทางในการเจรจากับทางกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็น เรื่องพื้นที่ทับซ้อนหรือผลประโยชน์ทางทะเลจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และเป็นไปอย่างเปิดเผย โดยยึดหลักการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและปฎิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง
"ดิฉัน ยืนยันได้ว่า เรื่องการปกป้องและการรักษาอธิปไตยจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทำงานอย่างตรงไปตรงมาและปฎิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย และการทูตอย่างถูกต้อง ไม่มีการทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเอง" นายกฯ กล่าว
ทั้งนี้ในส่วนของการยืนยันพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ที่ดูเหมือนว่าทางกัมพูชายืนยันมาตลอดมาเป็นพื้นที่ของกัมพูชา นายกฯ มองว่า เรื่องนี้เป็นการยืนยันตามแนวทางของแต่ละประเทศ แต่รัฐบาลพร้อมที่จะต่อสู้ โดยใช้หลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้เราคงต้องปฎิบัติตามคำสั่งของศาลโลกและจำเป็นต้องใช้คณะกรรมการที่รัฐบาลชุดก่อนตั้งเอาไว้ให้สานงานต่อไป
ส่วนกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล โดยเฉพาะผลประโยชน์ด้านพลังงานนั้น นายกฯ ยืนยันว่า จำเป็นต้องนำรูปแบบของเอ็มโอยูปี 44 มาศึกษาต่อ โดยจะให้ทาง รมว. ต่างประเทศ ไปศึกษาแล้วนำกลับมาหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งหากจะมีการเปิดเจรจาจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการเจรจาอย่างเปิดเผย
สำหรับแนวทางในเรื่องของปราสาทพระวิหารจะต้องยึดแนวทาง JBC และศาลโลกเป็นหลัก แต่ยอมรับว่า การถอนทหารออกจากพื้นที่ในขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยจะมีการเสริมกำลังตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.)เข้าไปแทน ซึ่งคงต้องอยู่ภายใต้กรอบการเจรจาของ GBC
"หลังจากเดินทางไปเยือนกัมพูชาวานนี้ บรรยากาศในการพูดคุยดีขึ้น ซึ่งทางกัมพูชาก็มีความตั้งใจในการเปิดศักราชใหม่ในการเจรจา ซึ่งในเรื่องของการค้าขาย ทางไทยก็พร้อมที่จะเปิดจุดผ่านแดนมากยิ่งขึ้น เบื้องต้นเริ่มที่ จ.สระบุรี ส่วนในพื้นที่อื่นๆ มอบให้ รมว.มหาดไทย ทั้ง 2 ประเทศเป็นเจ้าภาพในการศึกษาเรื่องนี้" นายกฯ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายกฯ กล่าวปฎิเสธว่า ไม่ทราบถึงการเดินทางไปกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันนี้
ส่วนการเดินทางไปเยือน สปป.ลาวในช่วงบ่ายวันนี้ นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลไทยยังคงจะยืนยันกับทางรัฐบาลลาวว่า มีความต้องการที่จะซื้อไฟฟ้าจากลาว ส่วนความสัมพันธ์ทางด้านอื่นนั้นถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้ว