ครม.เงา ชี้นโยบายบ้านหลังแรกเอื้อประโยชน์ SC ได้ประโยชน์ 3 พันลบ.

ข่าวการเมือง Wednesday September 21, 2011 16:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะรัฐมนตรีเงา (ครม.เงา) กล่าวถึงมาตรการบ้านหลังแรกของรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 ก.ย. ว่า ในหลักเกณฑ์การเพิ่มวงเงินมูลค่าที่อยู่อาศัยจาก 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาทนั้น เป็นการเชื่อได้ว่ามีการนำภาษีจากคนชั้นกลางไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยผลจากการขยายวงเงินนั้นได้ทำให้อสังหาริมทรัพย์ในเครือของบมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) ได้รับประโยชน์กว่า 1,000 ยูนิต ดังนั้นจึงต้องทวงถามว่านโยบายนี้มีการนำภาษีไปเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือไม่ ส่วนในเรื่องหลักการนั้นมีความใกล้เคียงกับโครงการของพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต

ทั้งนี้ นายอรรถวิชช์ ได้นำสำเนาเอกสารรายงานประจำปี 53 ของ SC แสดงให้เห็นถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในบริษัทซึ่งมีราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าได้ประโยชน์จากการขยายวงเงินตามมติครม.ด้วย อาทิ โครงการวิสต้า วันเอทโอ รัชวิภา ถนนพิบูลสงคราม ที่ราคาขายอยู่ที่ยูนิตละ 3.5-4.0 ล้านบาท, โครงการเซ็นทริค ซีน รัชวิภา ถนนรัชดาภิเษก ราคาขาย 1.69-5.6 ล้านบาท , โครงการเซ็นทริค รัชดา-สุทธิสาร ถนนสุทธิสารวินิจฉัย ราคาขาย 2.7-5.5 ล้านบาท, โครงการเดอะ เครสท์ พหลโยธิน 11 ถนนพหลโยธิน ราคาขาย 3.5 - 10 ล้านบาท , โครงการเดอะเครสท์ ร่วมฤดี ถนนเพลินจิต ราคาขาย 4.5-10 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่มีการเปรียบเทียบราคากับบริษัทอื่น แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า SC มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงมาก และได้รับผลประโยชน์จากการขยายวงเงินจากมาตรการบ้านหลังแรกของรัฐบาล

ด้านนายสรรเสริญ สมะลาภา รมช.คลังเงาปชป. กล่าวว่า ครม.เงารู้สึกผิดหวังนโยบายบ้านหลังแรกอย่างมาก เพราะช่วยคนยากจนจริงๆได้น้อย และช่วยเป็นวงเงินที่น้อย เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ 10%ที่นำมาลด แท้จริงเป็นการลดรายได้พึงประเมิน ดังนั้นการแจ้งรายได้พึงประเมินที่ลดลงไป เมื่อทอนเป็นภาษี เม็ดเงินที่ตกถึงประชาชนจริงๆจะน้อยมาก เช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท ลดรายได้พึงประเมินได้ 1 แสนบาท แต่เมื่อทอนเป็นภาษีจริงๆที่ประชาชนได้รับแค่ 1.5-3.5 หมื่นบาทเท่านั้น ตามการจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คำถามตามมาคือการลดภาษีที่น้อยและช่วยคนจนได้น้อย แต่รัฐบาลยืนยันทำได้ เป็นการเอื้อประโยชน์ประชาชนหรือแก่บริษัทกลุ่มไหน เพราะคำถามคือ วงเงินเพิ่มจาก 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท ไปตกกับบริษัทใด

โครงการจำนวนมากของ SC ที่มีราคาในระดับดังกล่าวนั้น เมื่อประเมินเงินรายได้จากประชาชนที่จะมาสร้างรายได้ให้ SC คร่าวๆ 1 พันยูนิต อย่างต่ำ 1 ยูนิตละ 3 ล้านบาทเท่ากับ 3 พันล้านบาท โครงการนี้เมื่อเทียบการช่วยเหลือประชาชนที่มีฐานะยากจนที่อยากมีบ้าน เทียบกับโครงการรัฐบาลประชาธิปัตย์ เราช่วยได้มากกว่าด้วยการจัดทำเรื่องกู้ดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ ใน 2 ปีแรก และการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน ทำให้ขณะนี้ยอดจองอนุมัติไปแล้ว 1.7 หมื่นล้านบาท หากเทียบกับโครงการบ้านหลังแรก จะช่วยเหลือประชาชนได้อีกถึง 10 เท่าตัว เมื่อคิดทั้งเงินและจำนวนราย

ส่วนกรณีนี้เข้าข่ายประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่นั้น ต้องรอดูยอดจองหลังจากนี้ว่าดีขึ้นอย่างไรบ้าง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่ายอดจองมาจากนโยบายรัฐบาลหรือไม่เมื่อเทียบกับยอดจองบ้านราคา 1-3 ล้านบาทซึ่งเป็นจุดหมายมุ่งช่วยคนจนโดยเฉพาะว่าอันไหนขึ้นมากกว่ากัน และสมาคมอสังหาริมทรัพย์เองยังออกมาบอกแล้วว่าผู้มีรายได้น้อยต้องการบ้านราคา 1-3 ล้านบาทเท่านั้น และเรื่องการเอาผิดต้องปรึกษาทีมกฎหมายบอกก่อนจะเหมือนการบอกการบ้าน

ทั้งนี้เรื่องประโยชน์ทับซ้อนทางนโยบาย เป็นเรื่องปกติของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในอดีตอยู่แล้ว ส่วนจะไปกระทบเสรีการแข่งขันของภาคเอกชนหรือไม่ต้องรอดูว่าบริษัทต่างชาติจะร้องอย่างไร เพราะมีบริษัทต่างชาติที่พร้อมขายคอนโดระดับราคาที่แพงกว่าเล็กน้อยที่อาจเสียโอกาส ซึ่งต่างจากกรณีรถคันแรกชัดเจน เพราะนโยบายแบ่งแยกว่าต้องผลิตในประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ