พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากการไปเยือนประเทศกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ว่า ในการหารือกันนอกรอบระหว่างตนกับ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมกัมพูชา เห็นว่า ควรทำตามมติของศาลโลกในการแก้ปัญหากรณีที่พิพาทพื้นที่ทับซ้อน เพื่อให้ปัญหาคลี่คลายลง ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ จะได้มีชีวิตที่ดี มีการพัฒนาในด้านท่องเที่ยว และเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ คงจะต้องเร่งการประชุมจีบีซีให้ได้ก่อน 21 พ.ย.นี้ เพราะเป็นวันสุดท้ายที่ศาลโลกมีมติให้รายงานความคืบหน้า กรณีการปรับกำลังทหารตามแนวชายแดน อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายตนได้พบกับ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเขาบอกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีมาตั้งนานก่อนที่พวกเราจะเกิด เราควรจะมาร่วมแก้ไขปัญหา ไม่ใช่มารบกัน เรื่องดินแดนไม่ใช่เรื่องสำคัญ เท่ากับว่าเราจะทำอย่างไรให้เราสามารถใช้พื้นที่ที่มีปัญหาให้เกิดประโยชน์ร่วมกันได้ ประชาชนตามแนวชายแดนจะมีความสุข เราจะได้ในการลาดตระเวนร่วมกันในการปราบปรามสิ่งผิดกฎหมาย และจะขอเปิดด่านบริเวณตอนใต้ของปอยเปต เพื่อให้เกิดการค้าขายระหว่าง 2 ประเทศ เพราะไทยสามารถขายสินค้าไปยังกัมพูชาถึง 90% แต่กัมพูชาขายให้เราแค่ 10%
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในการปรับกำลังมีการหารือกันว่า จะปรับจากทหาร เป็นตำรวจ และในพื้นที่ดังกล่าวจะปลอดจากอาวุธสงคราม ให้มีได้แค่อาวุธประจำกายขนาดเล็กเท่านั้น และเห็นว่าควรมีประเทศอินโดนีเซียเป็นตัวแทนผู้สังเกตการณ์ ส่วนรายละเอียดต่างๆ มอบให้กองเลขานุการคณะกรรมการจีบีซี ของทั้ง 2 ประเทศ ไปกำหนดกรอบการประชุมมา ดังนั้น เราจะได้ข้อยุติในรายละเอียดตอนประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ซึ่งคาดว่าน่าจะราวเดือน ต.ค.2554