น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังรศ.อิสมาแอ อาลี อะมีรุ้ลฮัจย์ หรือรออิสบิซาตุ้ลฮัจย์ อัลรัสมียะห์ (หัวหน้าคณะผู้แทนฮัจย์ทางการ) ประจำปี 2554 (ฮ.ศ.1432) และคณะ ซึ่งเป็นผู้แทนนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี เข้าเยี่ยมคารวะว่า ได้มอบหมายให้รมว.ต่างประเทศไปเจรจากับทางซาอุดิอาระเบีย เข้าใจว่าในเบื้องต้นได้รับการยืนยันจากทางซาอุดิอาระเบียว่า อนุมัติให้ชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ในช่วงเทศกาลฮัจย์ ประจำปีนี้ได้ประมาณ 13,000 คนแล้ว ซึ่งได้เรียนกับทางทูตฯ ในเบื้องต้นว่าขอเพิ่มจำนวนผู้ที่จะเดินทางไปอีก โดยจะมีการติดตามให้ได้ตามเป้าหมายที่ทางคณะผู้แทนฮัจย์ขอไว้ที่ 15,000 - 20,000 คน
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า รัฐบาลอยากสนับสนุนให้ทุกท่านที่จะไปประกอบพิธีฮัจย์ได้เดินทางไปอย่างสมศักดิ์ศรีเพราะถือว่าเป็นตัวแทนประเทศไทย รวมทั้งได้เดินทางไปตามที่ต้องการเพราะพิธีฮัจย์เป็นพิธีสำคัญของศาสนา อย่างไรก็ดีอยากเห็นว่าการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญทางศาสนาอิสลาม ได้มีส่วนเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เพราะถือว่าในแง่ของการนับถือศาสนาต้องไม่มีพรมแดนของประเทศเกิดขึ้น จึงอยากเห็นในเรื่องของบรรยากาศนี้ รวมทั้งในเรื่องบรรยากาศการต้อนรับที่ดีของทั้งสองฝ่าย และอยากจะเร่งฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย วันนี้ต้องช่วยกันสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งคิดว่าในเบื้องต้นก็ถือว่าทางซาอุดิอาระเบียค่อนข้างยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับเรา
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอให้ทางอะมีรุ้ลฮัจย์หารือร่วมกับรมว.ต่างประเทศ ในประเด็นปลีกย่อยอื่น ๆ ที่ต้องการให้ภาครัฐอำนวยความสะดวกเพื่อให้งานทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น ให้ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้รับความสะดวกสบาย ซึ่งรัฐบาลยินดีอย่างยิ่ง สำหรับข้อหารือเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการฮัจย์เพื่อการดูแลอย่างเป็นระบบชัดเจนในระยะยาว นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายวรวีร์ มะกูดี ผู้แทนการค้าไทย ประสานงานรวบรวมรายละเอียดกับทางอะมีรุ้ลฮัจย์และฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจในทิศทางที่ตรงกัน เพราะถือว่าเรื่องการสร้างความเข้าใจและการปูพื้นฐานการทำงานในระยะยาวเป็นสิ่งที่จำเป็น