รัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) เห็นพ้องกันว่าจะพิจารณามาตรการต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการเงิน การขนส่ง และพลังงานของอิหร่าน รวมทั้งตกลงใช้มาตรการลงโทษคว่ำบาตรกับบุคคลและบริษัทอีก 180 ราย อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ในวันนี้ ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องการห้ามซื้อขายน้ำมันกับอิหร่านได้ เพราะมีบางประเทศคัดค้าน
การหารือประเด็นอิหร่านโดยรมว.ต่างประเทศอียูมีขึ้นหลังจากที่สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เปิดเผยรายงานที่ระบุว่า อิหร่านได้ดำเนินการทดลองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุปกรณ์นิวเคลียร์ ขณะที่อิหร่านยืนกรานปฏิเสธ โดยระบุว่าการพัฒนานิวเคลียร์ของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อสันติเท่านั้น
นอกจากนี้ การอภิปรายเรื่องอิหร่านยังมีขึ้นหลังจากที่เกิดเหตุกลุ่มผู้ชุมนุมชาวอิหร่านบุกโจมตีสถานทูตอังกฤษในกรุงเตะราน เพื่อประท้วงอังกฤษที่ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับอิหร่านเพราะอิหร่านดำเนินโครงการนิวเคลียร์
โดยอังกฤษได้เสนอให้มีการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับอิหร่าน หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลอังกฤษได้ตอบโต้ด้วยการขับนักการทูตของอิหร่านออกนอกประเทศ และได้ถอนเจ้าหน้าที่ทูตของอังกฤษในกรุงเตหะรานกลับประเทศแล้ว
ทั้งนี้ สื่อต่างประเทศรายงานว่า ที่ประชุมรมว.ต่างประเทศอียูได้เห็นชอบให้มีการใช้มาตรการลงโทษกับบริษัทและบุคคลเพิ่มอีก 180 ราย แต่อียูยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับรายชื่อบริษัทและบุคคลที่จะถูกคว่ำบาตรดังกล่าว
นอกจากนี้ รายงานของสื่อต่างประเทศยังเผยด้วยว่า รัฐมนตรีจากบางประเทศได้เสนอให้มีการห้ามซื้อขายน้ำมันกับอิหร่าน เนื่องจากเห็นว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้อิหร่านมีเงินทุนสำหรับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ลดลง อย่างไรก็ตาม กรีซ ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านปฏิเสธความเคลื่อนไหวดังกล่าว