นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีการเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนในคดีการเสียชีวิต 13 ศพในเหตุการณ์ความไม่สงบเดือนเม.ย.-พ.ค.53 ในฐานะอดีตผู้อำนวยการ ศูนย์นวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)ว่า หลังจากส่งหนังสือขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำเป็นวันที่ 15 ธ.ค.จาก 1 ธ.ค.แล้วปรากฎว่า พ.ต.อ.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ส่งหนังสือตอบกลับมาว่าขอให้ไปให้ชี้แจงภายในวันที่ 9 ธ.ค.เพราะเห็นว่าวันที่ 15 ธ.ค.ที่ขอไปเบื้องต้นนั้นใกล้กับวันที่กฎหมายกำหนดว่าจะต้องทำการสอบสวนให้แล้วเสร็จ
ภายหลังได้รับหนังสือก็ได้ตอบกลับไปทันทีว่าจะเดินทางไปให้ปากคำในวันที่ 8 ธ.ค. เวลา 14.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ในการจะทำสำนวนให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งที่ตนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปให้ปากคำก็ได้ เพราะในหนังสือที่เจ้าพนักงานสอบสวนส่งมาให้ตนเป็นการขอความร่วมมือไปให้ปากคำในฐานะพยาน แต่อย่างไรก็ตาม ตนจะเดินทางไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าพร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า จะรวบรวมเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลาที่จำกัด เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนมีความตั้งใจที่ร่วมมือกับเจ้าพนักงานสอบสวนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ มีคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการไปให้ปากคำมากมาย แต่ตนก็ยึดตามหนังสือที่ทางเจ้าหน้าที่แจ้งมาที่ต้องการให้ตนไปให้ปากคำในฐานะพยานที่มีผู้อ้างถึง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.53 จะไปให้การตามนี้ แต่หากนอกเหนือจากประเด็นนี้ก็ยินดี ทั้งนี้ ตนและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันและไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร เพราะตั้งใจให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนทุกอย่าง
ส่วนการไปให้ปากคำคนละวันกันกับนายอภิสิทธิ์ นั้นอาจจะมีปัญหาได้ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เราให้การตามความเป็นจริง พูดเรื่องจริงพูดคนละหน พูดคนละที พูดเมื่อไหร่ก็เหมือนกันทั้งนั้น ทั้งนี้ ตนยังไม่ได้มีการปรึกษานักกฎหมายว่าจะใช้อะไรเป็นพยานได้บ้าง แต่หลังจากที่มีข่าวออกไปก็มีความสับสน เพราะคนบางคนในพรรครัฐบาลไปให้ข่าวทำนองว่าตนและนายอภิสิทธิ์ถูกเรียกไปสอบสวนเหมือนเป็นผู้ต้องหาไปแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงแค่เป็นพยานเท่านั้น แต่เมื่อข่าวสารปรากฎออกไปต่อสาธารณชนก็มีคนให้ความเห็น ให้กำลังใจเป็นส่วนใหญ่ว่าสิ่งที่พวกเราทำเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง มีกฎหมายรองรับ ไม่ต้องกังวลใจอะไร ซึ่งตนก็จะไปให้ปากคำในแนวทางนี้
"การให้ปากคำก็จะให้ทนายไปด้วย เพราะตนไม่ประมาท พอเห็นว่าพวกเขามีอำนาจขึ้นมาปกครองบ้านเมือง ตนก็พอคาดเดาได้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหมือนกับที่ประชาชนทั้งหลายก็คงคาดเดาได้ จึงไม่ได้ตกใจอะไร ไม่กลัวเลย ไม่ได้ว่าหยิ่งยโสอะไร แต่เราทำในเรื่องที่ถูกต้อง เรามีเจตนาดีต่อบ้านเมือง และเราก็ใช้เหตุผลอยู่ในกรอบของกฎหมาย ก็ไม่ต้องกลัวอะไร พร้อมยืนยันว่าไม่ได้สะทกสะท้าน หรือหวั่นวิตกอะไร เอาเจตนาดีของเราที่มีอยู่เป็นที่ตั้ง ยืนยันว่าสบายใจดี" นายสุเทพ กล่าว