นายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลพยายามเร่งดำเนินการเรื่องแผนบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนให้เกิดความชัดเจนเป็นรูปธรรมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยการจัดทำแผนดังกล่าวจะเสร็จเรียบร้อยภายในเดือน ม.ค.55
"การบริหารจัดการน้ำครั้งนี้ต้องทำให้ทันหน้าฝนปีหน้า ไม่ให้เกิดน้ำท่วมอีก หรือทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งเป็นแผนระยะสั้น รวมถึงแผนระยะยาว ที่จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงเหมือนกับครั้งนี้อีก รวมถึงต้องดูแลไม่ให้ประชาชนขาดแคลนน้ำในหน้าแล้งที่จะมาถึงนี้ด้วย...คิดว่าน่าจะเห็นแผนชัดเจนไม่เกินเดือนหน้า(ม.ค.55)" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวในรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน" เช้านี้
ทั้งนี้ ตนเองได้แต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ(กยน.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ(กยอ.) เพื่อพลิกวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาให้เป็นโอกาส ด้วยการรื้อระบบการบริหารจัดการน้ำ และการป้องกันน้ำท่วมใหม่ทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมหันตภัยรุนแรงแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต
นายรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการเดินทางไปร่วมประชุมผู้นำกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงที่ประเทศพม่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการหยิบยกเรื่องการบริหารจัดการน้ำขึ้นมาหารือกันด้วย ซึ่งผู้นำแต่ละชาติเห็นว่า การป้องกันน้ำท่วมจะต้องคำนึงถึงเพื่อนบ้านด้วย ไม่ใช่ป้องกันประเทศตนเองได้เป็นอย่างดี แต่แม่น้ำสายเดียวกันไปกระทบเพื่อนบ้าน และเรื่องดังกล่าวยังได้หารือในเวทีอาเซียนมาแล้ว และตนเองมีแนวคิดที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำจากต่างประเทศ และตัวแทนประเทศในอาเซียนและลุ่มแม่น้ำโขง เข้ามาร่วมหารือกัน
สำหรับการจัดรายการฯ วันนี้เป็นรูปแบบการสนทนา โดยมีนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมทั้งมีนายวีรพงษ์ รามางกูร, นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา และนายกิจจา ผลภาษี มาร่วมนำเสนอความคืบหน้าในการดำเนินการด้านต่างๆ ซึ่นายวีรพงษ์ได้ชี้แจงว่า ได้เดินสายทำความเข้าใจกับหลายประเทศเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนยังอยู่ในประเทศไทย รวมถึงการหาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการครั้งนี้
ด้านนายวีรพงษ์ กล่าวว่า วงเงินที่คาดว่าจะต้องใช้ลงทุนเพื่อบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืน และเพื่อฟื้นฟูราว 3.5 แสนล้านบาท โดยจะตั้งกองทุนแบบเดียวกับกองทุนไทยเข้มแข็ง แต่อาจไม่เหมือนกันเพราะวัตถุประสงค์คนละเรื่อง ซึ่งมีตัวอย่างที่ทำมาแล้ว แต่ที่จะทำมาตรฐานจะดีกว่า และต้องยึดกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด
"ผมมองไม่ใช่เฉพาะการบริหารจัดการน้ำ แต่มองเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนต่อไป สร้างอะไรต่ออะไรใหม่หมด เราอยู่ในฐานะที่ทำได้ แต่เราลืมที่จะทำไปหลายปี เที่ยวนี้น้ำมากระตุ้น" นายวีรพงษ์ กล่าว
นายวีรพงษ์ กล่าวว่า แผนบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนจะเสนอเข้าพิจารณาในที่ประชุม กยน.ในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ และในวันที่ 27 ธ.ค.จะเสนอ ครม.ให้อนุมัติหลักการกรอบวงเงิน เพื่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเตรียมยกร่างกฎหมายต่างๆ ในเรื่องการเงินของประเทศ
"ปัจจุบันหนี้สาธารณะกว่าครึ่งไม่ใช่หนี้รัฐบาล เป็นหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่มาแบกไว้ ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีฐานะมั่นคง ทุนสำรองมากมาย ก็ควรจะรับหนี้กลับคืนไป เมื่อรับกลับคืนไปก็จะเหลือหนี้สาธารณะประมาณ 10% ของจีดีพี จากปัจจุบัน 40%กว่า" นายวีรพงษ์ กล่าว