นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงข่าวว่า รัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จในงานด้านความมั่นคงและต่างประเทศด้วยปัจจัย 3 ล. โดยพิจารณาจากกรณีก่อการร้าย
ประกอบด้วย 1.เหลวแหลก งานด้านความมั่นคง มั่วในการบริหารงาน ตั้งแต่เริ่มมีปัญหาสหรัฐฯ ออกคำเตือนพลเมืองว่าจะมีการก่อการร้ายใน กทม. แทนที่รัฐบาลจะบริหารสถานการณ์สื่อสารอย่างเป็นระบบ กลับเอางานด้านความมั่นคงไปฝากไว้ในมือของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องหารือทุกหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อให้มีความเป็นเอกภาพชี้แจงในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติ แต่นายกรัฐมนตรีกลับให้ ร.ต.อ.เฉลิมและ ผบ.ตร.มาดำเนินการ ทั้ง ๆ ที่คนที่ควรเข้ามาควบคุมสถานการณ์คือ ตัวนายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ ด้านความมั่นคง คือ พล.ต.อ.โกวิทย์ วัฒนะ จนทำให้เกิดความสับสนเพิ่มขึ้นและสร้างความเสียหายตามมา
2.ล้มเหลว ด้านการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศยังอ่อนด้อยไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง สะท้อนจากบทบาทของ รมว.ต่างประเทศ เพราะแทนที่จะประสานภายในกับสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและขจัดความกังวลนั้น เพื่อให้เพิกถอนคำเตือน แต่กลับใช้วิธีตำหนิผ่านสื่อและประกาศเรียกทูตมาพบ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าไปให้สุดทางกลับโยนเผือกร้อนไปให้ รมว.กลาโหมทำแทนด้วยการเชิญทูตทหารมายื่นคำขาดให้ถอนคำเตือน สุดท้ายเขาไม่ทำประเทศก็ยิ่งเสียหาย และแสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอที่จะทำให้เขาเชื่อมั่น
3.ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ จากภาพรวมการบริหารที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ แก้ปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ขณะที่นายกรัฐมนตรีไม่มีความรู้ในงานด้านบริหารสอบตกในการสื่อสารยามสถานการณ์วิกฤติ ทำให้รัฐบาลล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่จะไม่มีชาติใดเชื่อถือรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่มีชาติไหนจะให้ความเชื่อมั่นกับรัฐบาลที่โกหกแม้กระทั่งประชาชนของตัวเอง
นอกจากนี้ นายชวนนท์ยังกล่าวถึงนโยบายรัฐบาลทำร้ายประชาชน และประเทศชาติ จากปัจจัย 4 ต. ได้แก่ 1.ต้มตุ๋นประชาชน จากนโยบายด้านพลังงานที่ประกาศกระชากค่าครองชีพ ลดราคาพลังงานทุกชนิด แต่กลับทำในระยะเวลาสั้น ๆ จากนั้นทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เคยหาเสียงกับประชาชน
2.ตบตา โดยยกตัวอย่างกรณีแจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1 ซึ่งมีการท้วงติงมาตั้งแต่ตอนหาเสียงว่าเป็นนโยบายที่จะสร้างผลเสียมากกว่าผลดีทางการศึกษาและพัฒนาการของเด็ก เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ทางการศึกษาที่เด็กจะได้รับ แต่พรรคเพื่อไทยก็ดึงดันที่จะเดินหน้าเพื่อหาคะแนนนิยมทางการเมืองแบบไร้ความรับผิดชอบ เมื่อมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ทำตามที่พูดว่าจะแจกให้เด็กป. 1 ทั่วประเทศ แต่กลับเลือกที่จะแจกให้กับโรงเรียนบางแห่งแทนและล่าสุดนายกรัฐมนตรีออกมาอ้างว่าจะไม่แจกให้กับโรงเรียนทั้งหมด เพราะยังมีปัญหาที่ต้องศึกษาผลดีผลเสียก่อน เท่ากับการหาเสียงที่ผ่านมาตบตาประชาชนด้วยการแจกแบบแก้บนพอเป็นพิธีได้ไม่ทั่วถึงแล้วก็เลิก ถือเป็นการทำงานการเมืองที่ไร้ความรับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศชาติ
3.ตักตวง เนื่องจากตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศก็ตักตวงงบประมาณเอื้อประโยชน์ให้พรรคพวกตัวเอง เช่น กรณีเอาภาษีประชาชนไปแจกคนเสื้อแดงโดยไม่แยกผู้กระทำความผิด 7.75 ล้านบาทต่อราย บริหารแบบสองมาตรฐานให้คนเสื้อแดงแยกขังในสถานที่สบายกว่าผู้ต้องหารายอื่น จัดงบประมาณลงเฉพาะพื้นที่ตัวเองแบบเลือกปฏิบัติ
"กรณีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง ปปช.ทักท้วงว่าจะทำให้รัฐเสียหายหลายแสนล้านบาทและเป็นช่องทางการทุจริตแต่รัฐบาลไม่สนใจเดินหน้าต่อ กระทั่งมีการกักเก็บน้ำในเขื่อนเพื่อทำการเกษตรหวังคะแนนเสียงจากเกษตรกรจนน้ำท่วมเกือบทั้งประเทศ นอกจากนี้เกษตรกรยังไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากโครงการรับจำนำมีการทุจริตทุกขั้นตอน อีกทั้งยังส่งผลในการบิดเบือนราคาในตลาด กระทบการส่งออกที่ขณะนี้ต่างชาติหนีไปซื้อข้าวประเทศอื่นแทนเพราะราคาถูกกว่า ฉุดการส่งออกลดเหลือแค่ 7 ล้านตัน ในขณะที่ข้าวถุงมีราคาสูงขึ้น 10% เกิดทุจริตมหาศาล เป็นภาระงบประมาณนับแสนล้านบาท"นายชวนนท์ กล่าว
4.ตายเรียบ จากนโยบายของรัฐบาลที่ซ้ำเติมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง และการต่างประเทศขอวรัฐบาลชุดนี้ ไม่เพียงแต่จะสร้างสุขสลายทุกข์ไม่/ด้ แต่จะทำให้คนไทยตายเรียบเพราะต้องอยู่กับความไม่มั่นคงทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ และจะยากจนลง ช่องว่างระหว่างรายได้คนจนกับคนรวยจะขยายกว้างขึ้น
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลชุดนี้ทำได้คือ ทำให้เกิดความปรองดองได้จริง จากการจับมือกันของเกษตรกรสวนยางพาราภาคใต้กับภาคอีสานที่ปรองดองกันออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหายงพาราตกต่ำโดยวันที่ 17 มกราคมนี้เตรียมที่จะบุกเข้ามาทวงถามความคืบหน้าจากรัฐบาล อยากเตือนว่าคนจะเลือกกินปูสดเท่านั้น แต่เมื่อไหร่ปูเน่านอกจากไม่มีคนกินแล้วจะถูกโยนทิ้งด้วย"นายชวนนท์ กล่าว