นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และตัวแทนธนาคารพาณิชย์ทำการตกลงเก็บเงินค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเป็น 0.47% จากเดิม 0.4% ว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกันในหลายแง่มุม โดยวันพรุ่งนี้จะได้มีการพิจารณาจากศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความกฎหมายการโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินด้วย
ทั้งนี้ เมื่อธนาคารพาณิชย์ที่เป็นของเอกชนมีต้นทุนเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินนำส่งที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ธนาคารของรัฐที่เคยไม่มีการจ่ายเงินในส่วนนี้ ก็ต้องมามีต้นทุนเพิ่มขึ้นเพราะรัฐบาลจะเก็บเงินฐในอัตราเท่ากัน ดังนั้น ต้นทุนที่สูงขึ้นนี้ก็จะตกเป็นภาระต่อผู้มีบัญชีเงินฝาก และลูกค้าของธนาคารเหล่านี้
“ไม่ต้องห่วงหรอก มาที่ประชาชนแน่ เพราะว่าทุกสถาบันการเงินก็ต้องส่งต่อต้นทุนตัวนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลทำ ก็คือการถ่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก — เงินกู้ โดยอาจจะลดเงินฝาก หรือจะเพิ่มเงินกู้ขึ้น ทั้งในธนาคารรัฐพอสมควร เพราะจะเก็บ 0.4 และในส่วนของเอกชนก็จัดเก็บเพิ่มขึ้น"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
พร้อมตั้ง ข้อสังเกต 2 ประเด็นถึงการที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ออกมาระบุว่า การจัดเก็บเงินเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝากจากธนาคารของรัฐนั้น จะนำไปจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อนำเงินไปทำโครงการต่าง ๆ หรือกองทุนพัฒนาประเทศ แต่ไม่ใช่เป็นการจัดเก็บไปเพื่อใช้หนี้ของกองทุนฟื้นฟู คือ ประเด็นที่ 1 รัฐบาลกำลังพยายามหาเงินมาใช้ในลักษณะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบในระบบงบประมาณ พร้อมทั้งตั้งข้อสงสัยว่าการจัดตั้งกองทุนพัฒนาประเทศนี้จะมีการออกกฎหมายเพื่อมารองรับหรือไม่
และประเด็นที่ 2 หากรัฐบาลนำเงินที่จัดเก็บเหล่านี้ไปตั้งกองทุนดังกล่าวจริง ก็ยิ่งเป็นการทำให้เห็นได้ชัดว่า ที่รัฐบาลอ้างเรื่องหนี้สินของรัฐบาลเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อออก พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะมิเช่นนั้นจะต้องนำเงินในส่วนนี้ไปลดภาระในเรื่องของกองทุนฟื้นฟูฯ
“ตรงนี้มีนัยสำคัญ 2 ประเด็น ประเด็นแรกก็คือ การหาเงินใช้จ่ายงบประมาณ ที่เราตั้งข้อสังเกตกันมาตลอดว่ารัฐบาลนี้พูดเรื่องน้ำท่วม แต่สุดท้ายมุ่งมั่นมากว่าเวลาจะทำโครงการนั้นพยายามหาเงินมาแต่ไม่อยู่ในระบบงบประมาณ เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจว่ากำลังจะมีการออกกฎหมายหรือเปล่า เพราะจะมีการตั้งกองทุนเพื่อมารองรับตรงนี้
ข้อ 2 ผมว่าก็เป็นใบเสร็จอีกใบหนึ่งว่าประเด็นเรื่องของหนี้สินของรัฐบาลที่อ้างว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องออก พ.ร.ก. นั้นไม่เป็นความจริง เพราะว่าถ้าหากบอกว่ามันเป็นความจริงแล้ว ก็น่าจะต้องนำเงินตัวนี้ไปลดภาระเรื่องกองทุนฟื้นฟูฯ เพราะอ้างว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องไปลดภาระตรงนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าอันนี้จะเก็บเงินเพิ่มแต่กลับบอกว่าเงินตัวนี้เข้ามาเป็นกองทุนใหม่เพื่อที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ"