ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อการดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (FATF) ขึ้นบัญชีดำประเทศไทยที่ไม่ออกกฎหมายการฟอกเงินป้องกันการฟอกเงินเพื่อการก่อการร้ายว่า ไม่สนใจที่ FATF ขึ้นบัญชีดำกับไทย เนื่องจากองค์กร FATF ไม่ได้เป็นองค์กรของสหประชาชาติ ไม่ได้เป็นของ IMF และไม่ได้เป็นของธนาคารโลก เป็นเพียงที่ปรึกษาของกลุ่มจี 7
อย่างไรก็ตาม ไทยกำลังพิจารณาอยู่โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) และเนื่องจากมีบางมาตรามีอำนาจเหนือศาล ตนจึงให้กลับไปปรับเปลี่ยน จากนั้นได้ส่งกฤษฎีกา แต่ทางเรายังไม่ได้บอกว่าจะทำหรือไม่
นอกจากนี้ ต้องยึดหลักกฎหมายไทย ขณะเดียวกันมีความจำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายมารองรับ แต่ต้องอยู่ภายใต้ตามหลักนิติรัฐนิติธรรม ไม่ใช่ทำตาม FATF สั่ง
"ป.ป.ง.มีสิทธิที่จะยึดทรัพย์อยู่แล้วในฐานความผิดการก่อการร้าย แต่จะให้ป.ป.ง.มีอำนาจเหนือศาลไม่ได้"ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่มีรัฐบาลไหนที่จะปกป้องธุรกิจสีเทาหรือสีดำ จะต้องนำคนผิดมาลงโทษ รวมถึงจะเปิดโอกาสให้นักธุรกิจที่ไม่สบายใจเข้ามาพูดคุยกัน แต่ก็เกรงว่าหากมีการพูดคุยกันจะถูกมองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้
ส่วนกรณีสติกเกอร์ SEJEAL ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจสอบอยู่ในขณะนี้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่เกี่ยวโยงกับเหตุระเบิด หรือการก่อการร้าย
"เนื่องจากไปศึกษามาแล้ว ความหมายของคำดังกล่าวคือนกที่จะปราบปรามความชั่วร้าย ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดพูดเรื่องนี้ไปแล้ว และยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่ให้ประเทศคู่ขัดแย้งเข้ามาร่วมการสืบสวนคดีเด็ดขาด และจะไม่ตกอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้ง เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นความขัดแย้งทางศาสนาที่มีมาเป็นระยะเวลานานแล้วมากว่า 400 ปี"
ส่วนกรณีที่ตนเองพูดที่อุดรธานีว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับมาบ้านนั้น เป็นคนละเรื่องกัน เพราะตนเคยพูดมานานแล้วตั้งแต่ปี 52 และไม่ควรเชื่อมโยงการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับ พ.ร.บ.ปรองดองด้วย ส่วนจะเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเมื่อไหร่นั้น ต้องรอให้สถานการณ์ทางการเมืองดีขึ้นก่อน
สำหรับกรณีที่นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ขอแสดงความคิดเห็น