นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรควันนี้ได้หารือถึงการประชุมใหญ่สามัญของพรรควันที่ 29-30 มีนาคม โดยมีความเห็นตรงกันว่าประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจ และการเมือง โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีวาระซ่อนเร้นล้มล้างองค์กรอิสระ ล้มล้างความผิดในอดีตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยพรรคจะใช้การประชุมใหญ่แสดงวิสัยทัศน์จุดยืนของพรรคทั้งแนวคิดเศรษฐกิจ การเมือง สังคม โดยจะเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม และถ่ายทอดสดสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวี เพื่อแสดงให้เห็นว่าพรรคมุ่งมั่นเป็นที่พึ่งนำพาประเทศพ้นวิกฤต
นอกจากนี้ ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคคาดการณ์ว่าหากไม่มีการชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงกับประเทศชาติได้ เนื่องจากนโยบายรัฐบาลชัดเจนว่าเป็นการช่วยเหลือคนรวยละทิ้งคนจน และมุ่งที่จะทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่าการช่วยเหลือประชาชน โดยจะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยมุ่งประชานิยมสร้างคะแนนเสียง แต่พรรคประชาธิปีตย์มุ่งสร้างสวัสดิการนิยม วางรากฐานให้สังคมไไทยเข้มแข็ง
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบการรายงานยุทธศาสตร์ของรองหัวหน้าพรรคภาคใต้และภาคเหนือตอนล่าง โดย หัวหน้าพรรคย้ำเป้าหมายให้เดินหน้ากวาดที่นั่ง 100 เปอร์เซนต์ทั้งสองพื้นที่ และให้กรรมการบริหารพรรคช่วยกันจับตากองทุนพัฒนาสตรีที่ใช้งบประมาณ 7,700 ล้านบาทอย่างใกล้ชิด หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลใช้กองทุนดังกล่าวมาขยายฐานเสียงทางการเมืองในภาคใต้ โดยมีการกำหนดเงื่อนไขผู้ที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการว่า ต้องเป็นผู้มีแนวคิดทางการเมืองเดียวกับรัฐบาล มีการเลือกปฏิบัติให้สิทธิพิเศษกับเครือข่ายเสื้อแดงและคนของรัฐบาล ซึ่งเป็นการกระทำสองมาตรฐานและสร้างความแตกแยกในประเทศด้วย อีกทั้งยังมีการนำรายชื่อผู้ลงทะเบียนในกองทุนพัฒนาสตรีไปใช้สวมรอยเป็นผู้สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย
นายชวนนท์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลยืนยันที่จะเดินหน้าสนับสนุนให้นิคมอุตสาหกรรมสร้างเขื่อนกั้นน้ำ โดยอ้างไม่ขัดกฎหมาย ว่า การสร้างเขื่อนรอบนิคมอุตสาหกรรมที่สร้างก่อนปี 2535 อาจไม่ต้องรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่สร้างหลังปี 2535 จะต้องรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อสำนักนโยบายแผนและสิ่งแวดล้อม จึงไม่อยากให้ดำเนินการไปแล้วมีการฟ้องร้องศาลปกครองจนเกิดปัญหาความแตกแยกระหว่างนิคมอุตสาหกรรมและประชาชน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เตือนเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจ มีการผลักดันเดินหน้าโครงการแบบเงียบ ๆ ทั้งนี้หากยังดึงดันที่จะเดินหน้าต่อไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมนอกจากแก้ปัญหาไม่ได้แล่วจะทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้นด้วย