เอแบคโพลล์ เผยปชช.มั่นใจรัฐบาลแข็งแกร่ง "ยิ่งลักษณ์"มีภาวะผู้นำมากขึ้น

ข่าวการเมือง Sunday March 11, 2012 13:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สำรวจความแข็งแกร่งมั่นคงของรัฐบาลในสายตาประชาชน และข้อเสนอต่อทางออกของปัญหารัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐในเรื่อง ชนชั้นผู้ต้องสงสัย กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศจำนวนทั้งสิ้น 2,181 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ — 10 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.4 ระบุรัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังมีความแข็งแกร่งมั่นคงค่อนข้างมากถึงมากที่สุด โดยร้อยละ 46.8 ระบุว่านายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังมีความเป็นผู้นำมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 30.1 ระบุเหมือนเดิม และร้อยละ 23.1 ระบุลดลง

ส่วนความเชื่อมั่นต่อแกนนำนักการเมืองผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมือง (กลุ่มบ้านเลขที่ 111) กลับมาเป็นรัฐมนตรีแก้ปัญหาเดือดร้อนของชาวบ้าน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.7 เชื่อมั่น เชื่อมือ ในขณะที่ร้อยละ 38.3 ไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อมือ อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงรูปแบบที่ควรจะเป็นในการปรับคณะรัฐมนตรีโดยเปิดโอกาสให้กลุ่มแกนนำนักการเมืองผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมือง กลับมาเป็นรัฐมนตรีนั้น พบว่า ร้อยละ 44.8 ระบุควรปรับเข้ามาแบบค่อยเป็นค่อยไป ร้อยละ 25.2 ระบุควรปรับใหม่หมดทั้งคณะ และร้อยละ 11.7 ไม่ควรปรับ ในขณะที่ร้อยละ 18.3 ไม่มีความเห็น

แต่ที่น่าพิจารณาคือ ความกังวลต่อ 2 เรื่องคือ กังวลต่อความขัดแย้งจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับความกังวลเรื่องปัญหาปากท้อง ราคาสินค้า ค่าครองชีพที่สูงขึ้น พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.9 กังวลเรื่องปัญหาปากท้อง ราคาสินค้า ค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากกว่า ในขณะที่ร้อยละ 24.0 กังวลเรื่องความขัดแย้งจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากกว่า และร้อยละ 12.1 ไม่มีความเห็น และที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.8 รับรู้ต่อข่าวรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพของชาวบ้าน ค่อนข้างน้อยถึงไม่รับรู้รับทราบเลย ในขณะที่ ร้อยละ 38.2 รับรู้ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ที่น่าสนใจคือ ความคิดเห็นต่อภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในข้อมูลข่าวสารที่รับรู้ช่วงนี้ พบว่า ร้อยละ 47.7 ระบุภาพลักษณ์ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 26.7 ระบุเหมือนเดิม และร้อยละ 25.6 ระบุแย่ลง

สำหรับสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลชุดปัจจุบันดำเนินการเร่งด่วนใน 5 อันดับแรก พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.9 ต้องการให้แก้ปัญหาราคาสินค้า ค่าครองชีพที่สูงขึ้น รองลงมาคือ ร้อยละ 68.5 ต้องการให้เร่งแก้ไขเรื่องที่ทำกิน การถือครองทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะที่อันดับที่สาม ร้อยละ 66.3 ระบุความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อาชญากรรมและยาเสพติด อันดับที่สี่ ได้แก่ ร้อยละ 63.8 ระบุการแก้ปัญหาความเดือดร้อนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม มลพิษหมอกควัน และดินโคลนถล่ม ส่วนอันดับที่ห้า ได้แก่ ร้อยละ 54.1 ระบุเป็นเรื่องความไม่เป็นธรรมทางสังคม

ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันจำเป็นต้องเร่งทำงานหนักทุ่มเทให้กับประชาชนเพื่อปิดประตูปิดทาง “ไม่" ให้เกิดสภาวะที่กลุ่มนักการเมืองและข้าราชการประจำถูกมองด้วยอคติแบบเหมารวมว่าเป็น “ชนชั้นผู้ต้องสงสัย" ซึ่งสภาวะเช่นนี้เป็นสภาพที่ทำลายบรรยากาศประชาธิปไตย ทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำว่า เป็นกลุ่มคนที่ไม่น่าไว้วางใจ มีแต่โกงกิน ไม่ยอมทำงาน มุ่งแต่ผลประโยชน์และการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งก็มีแต่พวก “เด็กตั๋วเด็กฝาก" ที่คนเหล่านี้พอได้เข้าสู่ตำแหน่งก็มักไม่ยอมรับใช้สาธารณชน หรือถ้าทำก็มีแต่การสร้างภาพหลอกตาอยู่ในหน้าจอทีวีและสื่ออื่นๆ เท่านั้น

ทางออกคือ ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะรัฐบาลที่กำลังมีความแข็งแกร่งมั่นคงเวลานี้ต้องเร่งดำเนินการที่เรียกว่า “สองขั้นสองช่วง" คือ ในช่วงสองปีแรกของวาระการทำงานของรัฐบาล รัฐบาลต้องเร่งปฏิรูปกฎหมายที่เน้นผลลัพธ์ให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับประโยชน์ทั้งเรื่อง “สิทธิแห่งความเป็นเจ้าของทรัพยากร สิทธิแห่งความปลอดภัยและสิทธิแห่งความเป็นธรรมทางสังคมที่ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ" และหลังปรับปรุงกฎหมายใดๆ แล้วเสร็จ จากนั้นขั้นตอนที่สองเป็นเรื่องของ “การกระจายทรัพยากรและความสุข" ไปยังสาธารณชนทุกหมู่เหล่า โดยมีหลักประกันว่าทรัพยากรจะไม่ตกไปยังมือของกลุ่มนายทุนหรือเจ้าหน้าที่รัฐ จึงจำเป็นต้องทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ของประเทศเกิด “ความเป็นเจ้าของ" ในทรัพยากรเหล่านั้นและมีความสุขอย่างแท้จริง กระบวนการทั้งหมดนี้ต้องมีการประเมินผลที่เชื่อถือได้ไม่ใช่ให้พรรคพวกหรือกลไกความสัมพันธ์ส่วนตัวประเมินผลงานของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ เพราะมันจะเกิดสภาวะปกปิดความเป็นจริงหรือหมกเม็ดข้อมูลไม่ยอมให้ชาวบ้านได้รับรู้ ผลร้ายที่จะตามมาคือ รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐก็จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงสภาวะ “ชนชั้นผู้ต้องสงสัย" ของสังคม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ