อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ห่วงพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน ที่ถูกส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลรุมสอบถามในที่ประชุมรัฐสภา เพราะเชื่อว่าท่านมีความอดทนอย่างมาก แต่ก็ยอมรับว่าอาจมีผลกระทบทางจิตใจบ้าง
นอกจากนี้ มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกฝ่ายต้องหาแนวทางในการพูดคุย ไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะถือเป็นประเทศล้าหลังในกลุ่มอาเซียน ยิ่งถ้าไม่มีความปรองดองเกิดขึ้นจะยิ่งทำให้ไทยล้าหลังยิ่งขึ้น
"เรื่องการสร้างความปรองดอง พูดแล้วจะเสร็จในวันเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ต้องค่อยๆ พูดคุยกัน ความขัดแย้งเกิดขึ้นมานาน เป็นบาดแผล ซึ่งการสมานแผลต้องใช้เวลา ต้องพูดคุยเจรจากัน...ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความนุ่มนวล ความอดทน และต้องใช้เวลา และเชื่อว่าการที่พล.อ.สนธิเร่งผลักดันรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ไม่น่าจะมีส่วนช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เดินทางกลับมาประเทศไทย แต่ต้องการให้คนในชาติเกิดความปรองดองมากกว่า" พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าว
ด้านร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์รุมล้อม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.พรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ระหว่างการประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวานนี้ว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากพล.อ.สนธิ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติเมื่อปี 2549 ยังยอมรับว่า การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นไปโดยไม่ชอบ แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับไม่ยอมให้เกิดความปรองดอง ด้วยการปฏิเสธสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับพรรคของตนเอง หากยังทำเช่นนี้สมัยหน้าพรรคเพื่อไทยคงหาเสียงง่ายขึ้น และประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน
"การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น เพราะลำพังแค่ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการ ซึ่งเป็นนามธรรม ไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่ความปรองดองได้" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอให้นิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารเมื่อปี 2549 เช่นเดียวกับการออกเป็นมติคณะรัฐมนตรีที่ 66/2523 นั้น เป็นข้อเสนอที่ดี แต่มติคณะรัฐมนตรีฉบับนี้ เป็นการนิรโทษกรรมคดีที่ศาลยังไม่ตัดสิน ซึ่งแตกต่างจากคดีที่เกิดจากการรัฐประหารที่เกิดจาก คตส. ซึ่งส่วนหนึ่งศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว
"ส่วนตัวจึงเห็นว่า การนิรโทษกรรมควรออกเป็นพระราชบัญญัติโดยใช้เสียงข้างมากในสภา และพรรคประชาธิปัตย์ก็ควรเคารพ เพราะหากพรรคเพื่อไทยทำไม่ถูกต้อง การเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนก็จะไม่เลือกพรรคเพื่อไทยเอง"