นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวว่า ผลการประชุมสภาผู้แทนฯ เมื่อวาน (5 เม.ย.) ที่มีการลงมติรับรายงานแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติของคณะกรรมาธิการปรองดอง ได้ละเลยและเพิกเฉยต่อเงื่อนไข 3 ข้อของสถาบันพระปกเกล้าในฐานะที่เป็นเจ้าของงานวิจัยการสร้างความปรองดอง เพราะในแถลงการณ์ของสถาบันพระปกเกล้าที่แถลงไว้เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมาโดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันฯ ระบุไว้ชัดว่าให้ยืดอายุกรรมาธิการปรองดองไปถึงสิ้นปี และให้นำรายงานการวิจัยไปรับฟังความเห็นของประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งสถาบันพระปกเกล้าไม่เห็นด้วยถ้าจะมีการรวบรัดลงมติ แต่จากการประชุมสภาผู้แทนเมื่อวานได้ฉีกเงื่อนไขและข้อเสนอแนะของสถาบันพระปกเกล้าทั้ง 3 ข้อ แล้ว ส.ส.ปีกฝ่ายรัฐบาลนอกจากรวบรัดตัดตอนเลือกงานวิจัยบางข้อที่ตัวเองได้ประโยชน์มาอภิปรายแล้วยังมีท่วงทำนองของการตำหนิบทบาทของสถาบันฯ อย่างชัดเจน
"เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความจำเป็นที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานวิจัยต้องถอนรายงานการวิจัยออกมาทันที ตามที่ได้แถลงจุดยืนไว้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปขอความเห็นหรือมติจากสภาสถาบันพระปกเกล้าอีกแต่อย่างใด เพราะแถลงการณ์และเงื่อนไข 3 ข้อของสถาบันก็ผ่านความเห็นชอบและเป็นมติของที่ประชุมสภาสถาบันมาแล้ว"
นายสุริยะใส ไม่เชื่อว่า สถาบันพระปกเกล้าจะปล่อยเลยตามเลยหรือไม่สนใจในจุดยืนและเงื่อนไขการปรองดองที่ตัวเองประกาศไว้ เพราะถ้าเพิกเฉยหรือไม่รับผิดชอบต่อแถลงการณ์ที่เคยประกาศให้สังคมทราบก่อนหน้านี้ สถาบันพระปกเกล้า ก็หนีไม่พ้นต้องตกเป็นจำเลยสังคมอย่างแน่นอน เพราะที่ประชุมสภาผู้แทนฯ เมื่อวานไม่ใช่บรรยากาศของการนับหนึ่งการปรองดอง แต่เป็นการนับหนึ่งสงครามปรองดอง อย่างที่ นายบวรศักดิ์ได้แสดงความห่วงใยและให้สติกรรมาธิการปรองดองไว้ก่อนหน้านี้
สำหรับอนาคตการปรองดองจากนี้ไป คิดว่าการประชุมสภาเปลือยธาตุแท้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลชัดเจนแล้วว่าปรองดองหมายถึงการนิรโทษกรรมและฟอกผิดและคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวเท่านั้น อยากเตือนพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลว่าเมื่อไหร่ที่รัฐบาลเดินหน้าเรื่องนี้ก็เท่ากับไปปลุกขบวนการต้าน พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาอีกครั้งและสังคมการเมืองไทยก็จะวนกลับไปนับหนึ่งก่อน 19 กันยายน 49 อีกครั้งอย่างแน่นอน