นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ฟ้าวันใหม่ ทาง Bluesky Channel ว่า วันนี้จะลงพื้นที่ จ.ระยองเพื่อเยี่ยมผู้ประสบเหตุการณ์ถังเก็บสารเคมี อันตราย ของโรงงาน บีเอสที อิลาสโตเมอร์ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
"ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสียในครั้งนี้ส่วนการลงพื้นที่วันนี้ คงต้องมีการสอบสวนสาเหตุต่างๆและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น สิ่งนี้เป็นการตอกย้ำสิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องเผชิญที่มาบตาพุด"
และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐบาลต้องเร่งเดินหน้าสานต่องานหลายเรื่องคือ 1.การส่งสัญญาณ การอพยพ การบริการที่จะมีให้กับพี่น้องประชาชน เพราะมีโครงการที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้เริ่มไว้เช่น การปรับปรุงขีดความสามารถการให้บริการของโรงพยาบาลในพื้นที่ โรงพยาบาลมาบตาพุดต้องได้รับการสนับสนุนมากกว่านี้และแนวป้องกันก็เป็นอีกเรื่องที่เราต้องการเห็นการสานต่ออย่างจริงจัง รวมไปถึงระบบการเตือนภัยและสิ่งที่สามารถให้ข้อมูลต่อพี่น้องประชาชนได้ในเรื่องของคุณภาพอากาศจะต้องมีการตรวจวัดตลอดเวลา ซึ่งวันนี้ก็คงติดตามเรื่องเหล่านี้ด้วย
2.กรณีนี้เป็นอีกกรณีที่ทำให้ต้องคิดล่วงหน้าไปถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะมีกระแสข่าวว่า รัฐบาลมีแนวคิดอยากจะยกเลิกมาตรา 67 วรรค 2 เพราะมีอาการให้เห็นตั้งแต่ที่รัฐบาลได้ยืนยันกฎหมายขององค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเข้ามาทำงาน เพื่อให้มาตรา 67 วรรค 2 มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น
ฉะนั้น ตนคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอกย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องพูดล่วงหน้าไปจนถึงว่าการพัฒนาโครงการต่างๆในอนาคต และรัฐบาลมีมาตรการอะไรบ้างที่จะวางและผลักดันเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจของพี่น้องประชาชนและชุมชนในพื้นที่ ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ถึงเวลาที่จะต้องสร้างหลักประกันให้กับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่รอบๆนิคมอุตสาหกรรมและหลักประกันให้กับประเทศเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการในการมาลงทุน
"อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่านิคมอุตสาหกรรมเป็นเรื่องเลวร้าย เพราะการดูแลหลายเรื่องที่ได้พูดกันควรจะดูแลให้ดีกว่าปล่อยให้โรงงานไปตั้งตามที่ต่าง ๆ นอกนิคมอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้นแนวคิดที่จะมีนิคมอุตสาหกรรมไม่ใช่แนวคิดที่เลวร้าย แต่ขณะเดียวกันการบังคับใช้กฎหมาย การดูแลมาตรฐานความปลอดภัย มลพิษและสิ่งแวดล้อม จะต้องมีการปรับปรุง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันควรต้องมีความเข้มงวดกวดขันมากขึ้นในเรื่องการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสุขภาพของประชาชน อนาคต"
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน และการทำงานร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชนก็จะเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิด ความเข้าใจและสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ส่วนการที่รัฐบาลออกมาอ้างว่าราคาสินค้าไม่แพงและมีแนวโน้มราคาถูกลงนั้น ต้องถามรัฐบาลว่าการให้สัมภาษณ์ลักษณะนี้จะไม่แก้ปัญหาใช่หรือไม่ เพราะสนใจที่จะเถียงกับประชาชนมากกว่า ในเมื่อวันเดียวกันผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนกว่า 90% บอกว่าของแพงจริง แต่คงจะสู้รัฐมนตรี 11 ท่านไม่ได้ หากการพูดอย่างนี้ก็เท่ากับแสดงว่าไม่ต้องการที่จะแก้ไขปัญหา
ดังนั้นตนจึงเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการร้านถูกใจ และโครงการต่างๆที่จะมาช่วยแก้ปัญหาของแพง และไม่ต้องมาพูดให้เสียความรู้สึก ปล่อยประชาชนก้มหน้าก้มตารับกรรมและต่อไปนี้ก็ให้เราสำรวจความรู้สึกของตนเองกับอากาศว่าของแพงหรือไม่ ต้องยอมรับว่า ราคาพลังงาน ค่าขนส่ง ไม่ต้องไปเดินตลาด เป็นสิ่งที่รัฐบาลเองก็รู้เพราะเป็นคนอนุมัติให้มีการขึ้นราคาไฟฟ้า เป็นคนอนุมัติให้ขึ้นราคาก๊าซ เป็นคนอนุมัติให้มีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มขึ้น ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ต้องมาถกเถียงกันอยู่แล้ว ตนยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เพิ่งมาสนใจเรื่องนี้ เพราะในส่วนการทำงานของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รมว.พาณิชย์เงา และนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รมช.พาณิชย์เงา ได้รู้ตั้งแต่แรกว่าจะเกิดปัญหาขึ้น หากรัฐบาลใช้วิธีแบบนี้จึงได้มีการใช้วิธีการสำรวจตลาดอยู่ เป็นประจำ
นายอภิสิทธิ์ ยังระบุด้วยว่าของที่รัฐบาลดูแลได้เองเช่น น้ำมัน ก๊าซ ไฟ ค่าขนส่ง เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล เพราะฉะนั้นจะมาปฏิเสธไม่ได้ว่าแพงหรือไม่แพงวันที่15 พ.ค.นี้ ยังยืนยันที่จะขึ้นค่าขนส่ง ค่าไฟ หรือไม่ 1 มิ.ย.ยังยืนยันที่จะลดการใช้ไฟฟรีลงมาเหลือ 50 หน่วยหรือไม่
ส่วนกรณีที่นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยระบุว่า คำว่า แพงทั้งแผ่นดิน เป็น วาทกรรมที่ผลิตขึ้นมาเพื่อโจมตีรัฐบาลนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นปัญหา และสิ่งที่ชอบนำมาเปรียบเทียบมากที่สุดคือ ไข่ ซึ่งความจริงตนก็รอคำขอบคุณจากพรรคเพื่อไทย เพราะราคาไข่ที่ลดลงมาเป็นผลมาจากรัฐบาลชุดที่แล้วใช้นโยบายในการเปิดให้นำเข้าพันธุ์ไก่เสรี