นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) พร้อมด้วยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค เดินทางเข้ายื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) เพื่อให้เอาผิดกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.),นายธีรชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม., นายประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ประธานกรรมการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และนายอมร กิจเชวงกุล กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ในฐานะอาจมีส่วนรู้เห็นในการลงนามสัญญาให้บริการรถไฟฟ้า BTS ต่ออีก 13 ปี มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ระหว่าง บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ(BTSC) กับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด อันเป็นรัฐวิสาหกิจของกรุงเทพมหานครเป็นผู้ลงนามในสัญญาแทน ถือเป็นการจงใจหลีกเลี่ยงกฏหมาย
พรรคเพื่อไทยจึงขอให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ประกอบด้วย ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ, กระทำการจงใจและหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535
ด้านนายจิรายุ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าก่อนที่ส่วนราชการกทม.จะทำสัญญากับกรุงเทพธนาคม ได้มีการแก้ไขข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครในเรื่องเกี่ยวกับการให้อำนาจผู้ว่าฯ กทม. สามารถจ้างบริษัทของกทม.ได้โดยวิธีพิเศษ เพื่อให้ส่วนราชการกทม.สามารถทำสัญญากับกรุงเทพธนาคมได้ โดยไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้างตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ
ขณะเดียวกันกรุงเทพธนาคมได้ทำการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบว่าด้วยการพัสดุของบริษัทเอง เพื่อเอื้อต่อการทำสัญญากับ BTSC ซึ่งการแก้ไขกฎระเบียบดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถใช้อำนาจตรงในการทำสัญญาโดยวิธีพิเศษโดยไม่จำกัดวงเงิน และเป็นอำนาจของกรรมการผู้อำนวยการเป็นผู้กำหนดการจัดการพัสดุหรือการว่าจ้างอย่างเต็มที่ว่าจะดำเนินการโดยวิธีการใด นอกจากนี้ยังพบอีกว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำและวางแผนอย่างเป็นระบบ รวมทั้งเป็นลักษณะของนิติกรรมอำพราง
"ยืนยันว่า การออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการเมือง หรือดิสเครดิสผู้ว่าฯ กทม.เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม." นายจิรายุ กล่าว พร้อมเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลงมาตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นท่าทีของนายอภิสิทธิ์