ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 1 วินิจฉัยให้นายจตุพร พรหมพันธ์ สิ้นสุดสถานภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106(4) ประกอบมาตรา 101(3) เนื่องจากขณะเลือกตั้งถูกจับกุมคุมขัง ซึ่งเป็นข้อบัญญัติว่าเป็นคุณสมบัติต้องห้ามการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ทำให้นายจตุพรสิ้นสุดสมาชิกภาพของพรรคเพื่อไทย ส่งผลต่อเนื่องถึงสถานภาพการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ด้วย
อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยครั้งนี้ นายจรัล ภักดีธนากุล หนึ่งในคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ขอถอนตัว เนื่องจากภรรยามีคดีพิพาทกับนายจตุพร
นายจตุพร ให้สัมภาษณ์ว่า ยอมรับผลที่ออกมา ไม่โทษใคร แต่สังคมคงจะได้รับรู้ถึงผลงานที่ผ่านมาของตนเองแล้ว และรู้ว่าความยุติธรรมคืออะไร
"เรื่องนี้ไม่ใช่ความเจ็บปวดครั้งแรก เพราะตนผ่านความเจ็บปวดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรตนก็ยังยืนยันว่ายังเป็นคนเดิมของประชาชน หลังจากนี้ไปจะเดินหน้าทำภารกิจในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ยังคั่งค้างอยู่"นายจตุพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม มีแผนจะสมัครกลับเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอีก แต่ยังไม่กำหนดว่าจะดำเนินการเมื่อไหร่ ส่วนเอกสิทธิ์หลังจากพ้นสมาชิกภาพ จะต้องถูกดำเนินคดีหรือไม่นั้น ตนไม่หวาดหวั่น
"ชีวิตและอิสรภาพยกให้การต่อสู้"นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ในช่วงบ่ายตนจะไปแถลงที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว โดยยืนยันว่ายังไม่ท้อที่จะเล่นการเมือง ส่วนเรื่องการจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี
"เปรียบเหมือนการเล่นฟุตบอล ตนมีตำแหน่งเป็นเพียงผู้เล่น ต้องให้โค้ชพิจารณาและกำหนด"นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความโชคร้ายที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าก่อการร้าย ทั้งๆที่ เป็นเพียงข้อกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่ได้มีการพิจารณาผลเลยว่าจริงหรือไม่จริง แต่กลับไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา
สำหรับบรรยากาศหลังเสร็จสิ้นการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กลุ่มคนเสื้อแดงที่มารอฟังคำวินิจฉัยได้แสดงอาการไม่พอใจบ้าง
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า แม้นายจตุพรจะเป็นอย่างไรก็ตาม และแม้จะไม่ได้เป็นส.ส.แล้ว แต่ก็ยังถือเป็นพี่ชายของตนเอง ยังเป็นแกนนำของประชาชน จะต้องเดินหน้าทำงานต่อไป พร้อมทั้งขอให้กลุ่ม นปช.ยอมรับคำตัดสินในครั้งนี้ อย่าปลุกระดมเพราะจะไม่เป็นผลดี