สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แจงกรณีอัยการสูงสุด(อสส.) มีความเห็นไม่ส่งคำร้องเรื่องที่มีบุคคลหรือพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 มาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ไม่เป็นการตัดอำนาจของศาลในการที่จะรับคำร้องของผู้ที่มีสิทธิยื่นคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
เนื่องการปฏิบัติหน้าที่ของอัยการกับศาลนั้นมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ อัยการต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อนแล้วจึงใช้ดุลพินิจว่าจะยื่นฟ้องหรือยื่นคำร้องต่อศาลหรือไม่ ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของศาลต้องรับคำฟ้องหรือคำร้องให้เป็นคดีก่อนจากนั้นจึงพิจารณาพยานหลักฐานของทุกฝ่าย
"การทำหน้าที่ของอัยการจึงเป็นคนละส่วนกับอำนาจของศาล และไม่เป็นการตัดอำนาจของศาลในการที่จะรับคำร้องของผู้ที่มีสิทธิยื่นคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย" เอกสารประชาสัมพันธ์ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุ
ทั้งนี้ การที่อัยการสูงสุดมีความเห็นดังกล่าว ทำให้เห็นได้ชัดถึงข้อความที่ว่า "และยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ" ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสอง เป็นข้อความที่กับผู้ทราบถึงการกระทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง มิใช่ข้อความที่ใช้บังคับอัยการสูงสุด กล่าวคือ เมื่ออัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว อัยการสูงสุดจึงสามารถใช้อำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ได้
ดังนั้น ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวจึงมีสิทธิ 2 ประการ คือ 1.มีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และ 2.มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยตรงได้ ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ส่วนที่ 13 ว่าด้วยสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญที่ระบุชัดเจนว่าสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญเป็นสิทธิของชนชาวไทย จึงมิใช่ของอัยการสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว