นายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวกรณีการขอใช้พื้นที่สนามบินอู่ตะเภาว่า ทางองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา(National Aeronautic and Space Administration-NASA) ซึ่งเป็นองค์กรของพลเรือนได้ขอดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study - SEAC4RS) ในประเทศไทย ซึ่งโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ได้เคยดำเนินการแล้วในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ญี่ปุ่น และคอสตาริกา
ทั้งนี้ NASA จะใช้ท่าอากาศยานในประเทศเหล่านั้นทำการบินเพื่อเก็บตัวอย่างของอากาศในพื้นที่และสำรวจสภาพอากาศในพื้นที่ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของแต่ละประเทศ โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ ประโยชน์ในทางวิทยาศาสตร์ การพยากรณ์อากาศ ตลอดจนการบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ
ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อเสนอโครงการแล้ว ซึ่งโดยสรุปเห็นว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ในการช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของไทย และช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการพยากรณ์และป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งนี้ หน่วยงานปฏิบัติหลักของไทยคือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(GISTDA)
อย่างไรก็ดี โครงการนี้มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน กระทรวงการต่างประเทศจึงได้เสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบจะทำหนังสือสัญญาในรูปแบบการแลกเปลี่ยน ซึ่งไม่เข้าข่ายมาตรา 190 วรรค 2 เพราะไม่ส่งผลกระทบกับอธิปไตย โดยหากคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการนี้จะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการประมาณ 2 เดือน ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูมรสุม และจะมีการเตรียมอุปกรณ์เป็นการล่วงหน้าสำหรับโครงการ
สำหรับฝ่ายไทยจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการ อาทิ การตรวจอุปกรณ์ การทำการบิน ซึ่งจะมีทั้งนักวิชาการ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย อาทิ สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร เป็นต้น อีกทั้ง การใช้พื้นที่สนามบินอู่ตะเภาจะต้องขออนุญาตทำการบินผ่านในพื้นที่
นอกจากนี้ ยังมีการบินสำรวจเหนือน่านน้ำสากลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมการบินของไทย สิงคโปร์ และกัมพูชา ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ได้รับความยินยอมจากสิงคโปร์และกัมพูชา และได้แจ้งประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว ซึ่งไม่มีประเทศใดคัดค้าน ด้วยเห็นว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ในเชิงวิชาการ และก่อประโยชน์ให้แก่ภูมิภาคโดยรวม