นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กล่าวถึงกระแสข่าวการทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งอาจเข้าข่ายปกปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่า สามารถชี้แจงได้หมด โดยเฉพาะหุ้นบริษัทประกัน ตนเองได้มาก่อนการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นคงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างแน่นอน
ส่วนที่มีรายได้นับ 100 ล้านบาทนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเงินที่ได้จากการทำเอ็มโอยูเพื่อซื้อบริษัทประกันชีวิตแล้วมาระดมหานายทุนที่อยู่ในวงการประกัน เพราะมองเห็นว่าธุรกิจตรงนี้มีอนาคตดี ซึ่งหุ้นของตนเองมีมูลค่า 102.7 ล้านบาท เป็นมูลค่าส่วนต่างของหุ้น 32% ที่เหลือไม่ได้เป็นการลงทุน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การโอนหุ้นดังกล่าว แต่เดิมเป็นของนายศรันย์ ลิมป์หิรัญรักษ์ ซึ่งเป็นน้องเขย และเป็นผู้ประสานเรื่องนี้ทั้งหมด ในนามตัวแทนของผุ้ถือหุ้นทั้งหมด เพราะฉะนั้นการไปทำสัญญา หุ้นทั้งหมดจะอยู่ในนามของน้องเขย ไม่ใช่เฉพาะส่วนของตนเองเท่านั้น และในการเลือกตั้งมั่นใจว่าเป็นไปได้ที่จะชนะและได้เป็นรัฐมนตรี จึงไม่มีเหตุที่ต้องโอนหุ้นมาเป็นชื่อของตนเอง ส่วนหุ้นของคนอื่นก็โอนไปของใครของมัน แต่ของตนเองได้ฝากไว้ก่อน เพื่อดูผลการเลือกตั้งก่อน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อการเลือกตั้งเสร็จ ปรากฏว่าตนเองไม่ได้รัฐมนตรี แต่เป็นประธานรัฐสภา ซึ่งถือว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง สามารถถือหุ้นได้ จึงได้ขอโอนหุ้นกลับในนามของตนเอง แต่ก็มีปัญหาอีกเพราะบริษัทประกันมีการเพิ่มทุน โดยธนาคารออมสิน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) อะไรต่างๆ เข้ามาร่วมทุน ซึ่งตนเองไม่มีความรู้เรื่องนี้
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากบริษัทไปทำอะไรผูกพันกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ อย่าง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) การบินไทย ซึ่งอาจส่งผลถึงตนเองโดยที่ไม่รู้เรื่อง พอมีคนทักท้วงเรื่องดังกล่าว จึงตัดสินใจโอนยกหุ้นไปให้ลูกซึ่งเรื่องด้านเศรษฐศาสตร์ เพราะจบมาก็ต้องมาทำงานด้านนี้อยู่แล้ว เลยถือโอกาสยกให้ แล้วเรื่องนี้ชี้แจงได้โดยเอกสาร และพยานบุคคล ทุกอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา
"การยื่น ป.ป.ช.หลังเลือกตั้ง ผมได้แจ้งไปด้วยว่ามีหุ้นอยู่ตรงนี้ 102.7 ล้านบาท ฝากไว้ในนามของน้องเขย ถ้าผมไม่พูดแล้วใครจะรู้ ก็รู้กัน 2 คน แต่นี่มันตรงไปตรงมา โปร่งใส และเปิดเผย จึงแจ้งตรงนี้กับ ป.ป.ช. แล้วมันจะมีอะไรอีก" นายสมศักดิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ไม่ได้แจ้งการถือหุ้นบริษัท เค.พี.มิวสิค จำกัด และบริษัท เฟรม พลัส จำกัด นั้น ตนเองต้องไปขอดูในรายละเอียด เนื่องจากเรื่องดังกล่าวนานมากจนลืมไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารอยู่ อย่างไรก็ตาม 2 บริษัทดังกล่าวยืนยันว่าได้ยกเลิกกิจการไปนานแล้ว แต่อาจจะยังไม่ไปยกเลิกการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
"ทุกอย่างเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา อีกทั้งหุ้นที่ถืออยู่เป็นเพียงหลักแสนบาทเท่านั้น ขนาด 102.7 ล้านบาท ยังเปิดเผย ทั้งที่จะปกปิดก็ได้" นายสมศักดิ์ กล่าว
สำหรับประเด็น น.ส.ชุติภรณ์ อังคศิริมงคล และ น.ส.จินตนา ถาโคตร เป็นคณะทำงานที่อยู่ในบริษัทเท่านั้น เพราะเป็นบริษัทเครือญาติ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นของตัวเอง แต่ได้โอนให้ไปเป็นของเขาเลย เป็นการทำงานเกี่ยวกับค่ายเพลง
"เป็นงานอดิเรกของผม เพราะชอบฟังเพลงเก่าๆ เช่น รวงทอง ทองลั่นทม เป็นงานใจรัก งานอดิเรก จึงตั้งขึ้นมา พอเสร็จแล้วเริ่มเบื่อจึงยกให้เขา ทั้งหมดมีแค่นี้ สรุปคือตรงไปตรงมา" นายสมศักดิ์ กล่าว