นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุสังคมยุ่งเหยิงเพราะคนในสังคมไม่ยึดถือกฎกติกามารยาท ชอบเรียกร้องในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพโดยไม่คำนึงถึงเรื่องของหน้าที่ที่จะต้องยึดถือควบคู่กันไปด้วย ติงพรรคเพื่อไทยอย่าหลงทางเหมือนคดียุบพรรคในอดีต ควรชี้แจงข้อกล่าวหาของผู้ร้องมากกว่าตั้งหน้าตั้งตาที่จะหาเรื่องกับศาลรัฐธรรมนูญ
"เดี๋ยวนี้ใครอยากได้อะไรก็ปิดถนนประท้วง โดยอ้างว่าเป็นสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องของหน้าที่เลย" นายวสันต์ กล่าว
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กรณีที่ศาลรับคำร้องเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้พิจารณานั้น ก็ยังไม่ได้ไปตัดสินว่าใครถูกใครผิด แต่เห็นว่ามีความเป็นไปได้ตามคำร้อง เพราะหากมีการโหวตวาระ 3 ไปแล้วก็จะโยนภาระไปให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แม้จะกำหนดว่าห้ามแตะต้องหมวดที่ 1 และ 2 แต่หาก ส.ส.ร.เข้าไปแตะต้องแล้วสภาฯ จะไปทำอะไรได้ แม้จะบอกว่าประธานรัฐสภาสามารถที่จะยับยั้งได้ แต่หากประธานรัฐสภาไม่ยับยั้งก็ไปห้ามไม่ได้ แม้จะบอกว่าประธานรัฐสภาเป็นผู้ทรงเกียรติก็ตาม
"ถ้ายึดถือที่ตัวบุคคลว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ บ้านเมืองก็ไม่ต้องมีกฎหมาย หากทุกคนรู้สิทธิและหน้าที่ของตัวเอง" นายวสันต์ กล่าว
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญถูกโจมตีมาตลอด บางคนไม่รู้เรื่องรัฐธรรมนูญเลยก็ยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์โจมตี ซึ่งถือเป็นเรื่องตลก และเรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นสมัยพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทยที่ผู้ถูกร้องไม่ได้มุ่งที่จะแก้ต่างข้อกล่าวหาของอัยการ แต่กลับมาหาเรื่องกับศาลรัฐธรรมนูญ
"เรื่องที่เขาร้องว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองยังไม่เห็นมีใครออกมาปฏิเสธเลยสักคน แทนที่จำเลยจะไปต่อสู่กับข้อกล่าวหาของโจทก์ กลับมาหาต่อสู้กับศาลเหมือนคดียุบพรรค" นายวสันต์ กล่าว
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยังชี้แจงถึงเรื่องประเด็นสองมาตรฐานว่า ต้องเป็นคดีเรื่องเดียวกันที่ตัดสินต่างกัน แต่ไม่ใช่ตัดสินไม่เป็นที่พอใจก็ออกมาบอกว่าสองมาตรฐาน ทั้งที่คนพูดยังไม่เข้าใจ เอาแค่พูดให้โก้เท่านั้น
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมาจะถูกโจมตีอย่างหนักก็ยังอดทนได้ แต่ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้ถึงไหน แต่ต้องยอมรับความจริงว่าความอดทนของคนเรามีจำกัด