สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทำเนียบขาวแสดงความยินดีที่สหภาพยุโรป (อียู) มีมติห้ามนำเข้าน้ำมันอิหร่านทั้งหมด เพื่อเรียกร้องให้อิหร่านดำเนินการเจรจา "ครั้งสำคัญ" เพื่อคลี่คลายกรณีพิพาทโครงการนิวเคลียร์
นายเจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงว่า "การตัดสินใจร่วมกันของประเทศในกลุ่มอียูทั้ง 27 ประเทศแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นอย่างมากของพันธมิตรและคู่ค้าชาวยุโรปของเราที่จะแก้ปัญหาความวิตกกังวลของนานาประเทศเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างสันติ"
"สหรัฐและอียูมุ่งมั่นที่จะให้อิหร่านออกมารับผิดชอบต่อการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ" นายคาร์นีย์กล่าวโดยระบุว่าการเคลื่อนไหวของอียูเป็น "ส่วนสำคัญของความพยายามทางการทูตร่วมกันในการเสนอทางเลือกที่ชัดเจนแก่อิหร่านระหว่างการถูกโดดเดี่ยวหรือการทำตามข้อตกลง"
ทั้งนี้ สหรัฐได้กำหนดการคว่ำบาตรรอบใหม่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยมุ่งไปที่สถาบันการเงินในทุกประเทศที่ซื้อน้ำมันอิหร่าน อย่างไรก็ตาม มี 20 ประเทศที่ได้รับการยกเว้นจากการคว่ำบาตรเป็นเวลา 180 วัน
การส่งออกน้ำมันถือเป็นแกนหลักของระบบเศรษฐกิจอิหร่าน ดังนั้นการคว่ำบาตรที่ครอบคลุมของสหรัฐและอียูครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะกดดันให้อิหร่านล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์
หลังจากการเจรจา 3 ครั้งประเด็นโครงการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมตั้งแต่กลางเดือนเมษายน อิหร่านตกลงที่จะเจรจาอีกครั้งกับสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน และเยอรมนี หรือที่เรียกว่ากลุ่ม P5+1 ที่กรุงอิสตันบูล ประทศตุรกี ในวันที่ 3 กรกฎาคม ในระดับผู้เชี่ยวชาญ
"อิหร่านมีโอกาสที่จะสานต่อการเจรจาครั้งสำคัญ เริ่มต้นจากการหารือในระดับผู้เชี่ยวชาญที่กรุงอิสตันบูลในสัปดาห์นี้ และจะต้องดำเนินการมาตรการที่เป็นรูปธรรมที่จะนำไปสู่แนวทางที่ครอบคลุมในการคลี่คลายความกังวลของนานาประเทศเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน" นายคาร์นีย์กล่าว
อิหร่านยังคงยืนยันว่ากิจกรรมด้านนิวเคลียร์ของตนเป็นไปในเชิงสันติ แม้ว่าประเทศตะวันตกตั้งข้อสงสัยว่าโครงการดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ก็ตาม