"บิ๊กจิ๋ว"แถลงการณ์ปัญหาแก้รธน. รับเห็นใจศาลตัดสินยาก หวั่นขัดแย้งปะทุ

ข่าวการเมือง Sunday July 8, 2012 11:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ความยาว 13 หน้า ระบุถึงปัญหาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 13 ก.ค.นี้ว่า การที่รัฐบาลยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเข้าข่ายเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ โดยคำแถลงดังกล่าวมีใจความดังนี้

คำปรารภ

เมื่อเริ่มความขัดแย้งในสังคมไทยเรื่องรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 มีเพื่อนคนหนึ่งกระซิบผมว่า คำตอบสุดท้ายในปัญหานี้คือตัวเลขมหัศจรรย์ 3 ตัว อันได้แก่ 68, 77, 7 ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว ผมเห็นใจบรรดาท่านที่ทำหน้าที่ในศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้มากไม่ว่าท่านที่เคารพทั้งหลายจะตัดสินใจอย่างไรคงจะไม่ทำให้ฝ่ายใดชนะหรือได้เปรียบ จะมีแต่ผู้แพ้และประเทศก็จะแพ้และสูญเสียอย่างยิ่ง

ความขัดแย้งคงจะปะทุขึ้นอีกเมือนเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งลูกหลานในยุคนี้ไม่เคยได้สัมผัสและทราบถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับคนไทยทุกคน วันนั้นเราต้องชดใช้ผลอันเกิดขึ้นด้วยชีวิตพี่น้องเราเป็นเรือนหมื่นเรื่อนแสน ทรัพย์สินและทรัพยากรธรรมชาติหมดสิ้นไปมหาศาล น้ำตาคนไทยต้องไหลรินนองแผ่นดิน เราทุกคนยังจำเหตุการณ์วันนั้นกันอย่างไม่รู้ลืม อีกทั้งผมก็เห็นใจอย่างยิ่งต่อฝ่ายรัฐสภาและรัฐบาลรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องในสถานการณ์ที่ต้องมาตกอยู่ในความขัดแย้งกันเองภายในชาติ ซึ่งผมทราบดีว่าโดยเจตนารมณ์ที่แท้จริงของท่านทั้งหลายแล้วไม่ได้มีความต้องการแม้แต่นิดเดียว

วันนี้เหตุการณ์ทั่วไปของประเทศเราไม่เหมือนวันนั้น ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมือง เปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมซึ่งเราปรารถนาจะเดินตามประเทศที่ยิ่งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจลักษณะนี้มาแล้ว แต่วันนี้เขากำลังล่มจม มีปัญหาอะไรกำลังเกิดขึ้น สิ่งแวดล้อมในโลกก็กำลังเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบและเสียหายซึ่งเราต้องเตรียมการตั้งรับและแก้ไขกัน

ในขณะเดียวกันสภาพจิตใจของลูกหลานเยาวชนของเรากำลังเปลี่ยนแปลง คนในเยนเนเรชั่นวายในปัจจุบันคิดและทำไม่เหมือนเราแล้ว ทุกสิ่งในโลก ทุกสิ่งในภูมิภาค ทุกสิ่งในประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงต้องการการวางแผนเตรียมการรับสถานการณ์อนาคตในขณะที่รากหญ้าหรือฐานรากของสังคมไทยยังอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด พายุกำลังพัดประเทศ รากฐานของบ้านเมืองต้องเข้มแข็งและมั่นคง พี่น้องที่เคารพเรามีความรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาบ้านเมือง และมิเพียงเท่านั้น เรายังจะต้องช่วยกันสร้างสรรค์ให้เกียรติภูมิของชาติไทยเรากลับคืนมาเหมือนในอดีตให้ได้อีกด้วย

เอกสารฉบันนี้มุ่งหวังชี้ให้ท่านที่เคารพเห็นว่าเราจะต่อสู้กันไปเพื่ออะไรในเมื่อสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นผลมาจากชัยชนะในครั้งนี้เลย เป็นการต่อสู้ที่ผิดวัตถุประสงค์เป้าหมาย เป็นการต่อสู้ที่ไร้เหตุผล เป็นการต่อสู้ที่ผิดพลาดซ้ำซากมาตลอด 80 ปีในประวัติศาสตร์ชาติไทยเรา ผมขออภัยด้วยถ้ามีผู้เห็นต่าง แต่กรุณาเถิดพี่น้องที่เคารพกรุณาช่วยกันสร้างสันติ ความสงบสุขให้เกิดขึ้นในแผ่นดินเราด้วยเถิด

ขอขอบพระคุณ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

          คณะราษฎรได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่กำลังสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ  ที่เรียกทางวิชาการว่า  การปฏิวัติสันติ  Peaceful Revolution  ลงเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475  แล้วคณะราษฎรได้สร้างการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ (Constitutional Regime)  ขึ้นในประเทศไทย   ต่อจากนั้นมาระบอบรัฐธรรมนูญค่อยก่อรูปขึ้นเป็นลัทธิ (Doctrine)  ที่ประกอบด้วยความเห็น (ทฤษฎี) ต่าง เช่น  เห็นว่า  รัฐธรรมนูญจะทำให้ชาติเจริญ เห็นว่า  รัฐธรรมนูญคือเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย เห็นว่า  รัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตย  ฯลฯ
          เกิดเป็นปรากฏการณ์รัฐธรรมนูญเปลี่ยนจากกฎหมายมาเป็นลัทธิการเมือง
          เมื่อเกิดความเห็นผิดว่า รัฐธรรมนูญจะทำให้ชาติเจริญ รัฐธรรมนูญคือเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตย
จึงคิดสร้างรัฐธรรมนูญกันเป็นการใหญ่ เพราะคิดว่าเป็นการสร้างประชาธิปไตยที่จำทำให้ชาติเจริญ แต่รัฐธรรมนูญไม่ใช่ประชาธิปไตย  จึงได้แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้ประชาธิปไตย อันเป็นต้นเหตุของการแก้ไขหรือการฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างกันใหม่เพื่อให้ได้ประชาธิปไตย  แต่ก็ไม่ได้ประชาธิปไตยได้แต่รัฐธรรมนูญทุกครั้งไป จึงเกิดปรากฏการณ์ร่ำรวยรัฐธรรมนูญ แต่ยากจนประชาธิปไตยในที่สุด คือมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ
          ด้วยความเห็นผิดดังกล่าวคณะผู้ปกครองคณะต่างๆ ก็คิดโทษคณะก่อนว่าสร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จ  จึงคิดและลงมือสร้างรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยด้วยการแก้ไขหรือฉีกรัฐธรรมนูญกันตลอดมา  จึงเกิดปรากฏการณ์รัฐธรรมนูญซ้ำซาก  ไม่รู้จบ   ทั้งรัฐธรรมนูญก็ถูกฉีกและรัฐบาลก็พังไปทุกคณะ  เกิดวิกฤติ  เกิดความขัดแย้งแตกแยกจลาจลนองเลือดมิคสัญญีกลียุคตลอดมา
          ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน  ปัญหารัฐธรรมนูญ ม.68  ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระที่ 3  ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550  และกำลังดำเนินการเพื่อนำไปสู่คำตัดสินวินิจฉัยว่าคณะรัฐมนตรีและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีการกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่
          โดยแท้จริงแล้วยังไม่มีระบอบประชาธิปไตย จะมีการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอย่างไร   ดังเช่นพี่น้องเสื้อแดงเขียนป้ายที่เวที  ณ  อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ เมื่อ 24 มิถุนายน 2555  นี้ว่า  80 ปียังไม่มีประชาธิปไตย   และพี่น้องเสื้อเหลืองรณรงค์กัน ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา
          ดังนั้นข้อหาตาม ม.68 คือล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐจะมีได้อย่างไร  และจะเป็นจริงไปได้อย่างไร  เพราะไม่มีระบอบประชาธิปไตยให้ล้มล้าง
          ฉะนั้นผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจึงร้องผิด  และศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินไม่ได้  หรือถ้าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินก็จะต้องมาทำการพิสูจน์ทราบเสียก่อนว่าการปกครองของประเทศขณะนี้เป็นการปกครองระบอบอะไร   เป็นการปกครองระบอบเผด็จการระบบรัฐสภาหรือระบอบประชาธิปไตยกันแน่
          กระบวนการพิสูจน์ทราบว่าระบอบปัจจุบันคือระบอบอะไร   ศาลรัฐธรรมนูญจะทำการพิสูจน์ทราบอย่างไร  มีระเบียบวิธีปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ความถูกต้องไม่ผิดพลาด  อันจะเกิดความเสื่อมเสียแก่ศาลรัฐธรรมนูญเอง   และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  จะเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนอันเป็นส่วนรวม
          จะทำการพิสูจน์ทราบอย่างไรว่า  การปกครองที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญกับการปกครองจริงในประเทศเป็นอันเดียวกัน  หรือเป็นคนละระบอบกัน
          โดยความเป็นจริงแล้วการปกครองที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญกับการปกครองจริงในประเทศ  หรือการปกครองในแผ่นกระดาษกับการปกครองในแผ่นดินเป็นคนละสิ่งกันอย่างสิ้นเชิงคือ
          การปกครองในรัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย  การปกครองในประเทศคือระบอบเผด็จการรัฐสภา
          ด้วยเหตุผลทางหลักการอันเป็นวิชาการและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ดังนี้
          1. มีปัญหาความยากจน (Poverty)  อันเป็นสภาวการณ์ของประเทศเผด็จการ 2. มีปัญหาการรัฐประหาร (ยึดอำนาจ)  เงื่อนไขของรัฐประหารคือระบอบเผด็จการ 3. มีวิกฤติอย่างทั่วด้าน  ทั้งด้านการเมือง  ด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม 4. มีปัญหาการคอรัปชั่นที่เกิดจากระบอบไม่ใช่เกิดจากคน 5. มีความเป็นประเทศด้อยพัฒนา (Under Developed Country) 6. มีนักโทษการเมือง 7. มีรัฐสภาที่ประกอบด้วยผู้แทนที่มีลักษณะความเป็นผู้แทนของคนส่วนน้อย  ไม่มีลักษณะของผู้แทนของปวงชนทุกคน  เช่น  ไม่มีผู้แทนสาขาอาชีพ (Walk of Life) 8. มีนโยบายสะท้อนผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยคือรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้  ไม่มีนโยบายที่สะท้อนผลประโยชน์ของปวงชนคนทั้งหมด  คือการสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
          9. ไม่มีรัฐธรรมนูญที่สะท้อนระบอบประชาธิปไตย  เพราะยังไม่มีการสร้างระบอบประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จขึ้นในการปกครองของประเทศไทยจริง   การร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นการร่างรัฐธรรมนูญที่ผิดหลักวิชา  คือ  ร่างรัฐธรรมนูญแบบคิดเอาเองฝันเอาเอง  ไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจริงเป็นต้นแบบให้รัฐธรรมนูญได้สะท้อนภาพแต่อย่างใดทั้งสิ้น 10. มีม็อบ (Mob)  เพราะม็อบคือปรากฏการณ์ของระบอบเผด็จการ  เหมือนกับควันเป็นปรากฏการณ์ของไฟ   ไม่มีมวลชน (Mass)  อันเป็นปรากฏการณ์ของระบอบประชาธิปไตย 11. มีการเลือกตั้งแบบเผด็จการที่ตัดสิทธิทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งและทั้งผู้เลือกหย่อนบัตรลงคะแนน  โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ  กฎหมายพรรคการเมือง  และกฎหมายเลือกตั้ง  คือไม่มีเลือกตั้งเสรี (Free Vote)  มีการเลือกตั้งด้วยวิธีเผด็จการได้ผู้แทนคนส่วนน้อย  ไม่มีการเลือกตั้งด้วยวิธีประชาธิปไตยได้ผู้แทนของปวงชน
          12. ยังมีกฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรม (Rule of Law) 13. มีการปกครอง  มีนโยบาย  มีกฎหมายที่ขัดต่อหลักการปกครองของการปกครองแบบประชาธิปไตย 5 ข้อ  คือ หลักที่ 1 คืออำนาจอธิปไตยของปวงชน หลักที่ 2 คือเสรีภาพของบุคคลบริบูรณ์ หลักที่ 3  คือความเสมอภาค หลักที่ 4  คือหลักนิติธรรม หลักที่ 5  คือการปกครองจากการเลือกตั้ง 14. มีการรวมศูนย์ทุนทางเศรษฐกิจ  ไม่มีการกระจายทุนอันเป็นการขยายกรรมสิทธิ์เอกชนออกไปอย่างกว้างขวาง  เช่น  การปฏิรูปที่ดินแบบประชาธิปไตยที่เป็นการกระจายทุนทางที่ดิน  ทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ  เช่น  เกษตรกร  ชาวนา  ชาวไร่  เป็นต้น 15. มีการปล่อยให้วัฒนธรรมต่ำทรามจากต่างชาติไหลบ่าเข้ามามอมเมาประชาชนโดยไม่มีการกลั่นกรองเลือกเอาแต่เฉพาะวัฒนธรรมที่ดีและเหมาะสม  สร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยที่ดีงามตามยุคสมัยส่งเสริมความเป็นไทย (Thainess)
          ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นนี้  ศาลรัฐธรรมนูญจะยืนยันและตัดสินพิพากษาได้อย่างไรว่า  ระบอบปัจจุบันของประเทศที่เป็นจริงในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจและหน้าที่จะพิจารณาวินิจฉัยตัดสินว่าระบอบใดเป็นระบอบอะไร  จึงจะไปสู่ปัญหาต่อมาคือ ปัญหาทำลายล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ
          ถ้าศาลรัฐธรรมนูญยืนยันตัดสินผิดพลาดจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ  ศาลรัฐธรรมนูญอาจจะสูญเสียความเป็นสถาบัน (Institute) กลายเป็นการรักษาความเห็นผิดมิจฉาทิฏฐิ  และรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ต่อไปอย่างไม่มีเจตนาเพราะเข้าใจผิดว่า  ระบอบเผด็จการรัฐสภาคือระบอบประชาธิปไตย   ศาลรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นเครื่องมือของระบอบเผด็จการรัฐสภาอย่างไม่มีเจตนา  ทั้ง ๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญก็มีเจตนาดีต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างยิ่ง  เพราะศาลรัฐธรรมนูญเมื่อตัดสินพิพากษาเรื่องใด ๆ ย่อมจะมีผลผูกพันต่อองค์กรอำนาจอธิปไตยทั้งรัฐสภา  คณะรัฐมนตรี  และศาล   ถ้าตัดสินถูกต้องจะส่งผลให้เกิดความดีงามต่อชาติและประชาชนอย่างยิ่ง  แต่ถ้าตัดสินผิดพลาดก็จะส่งผลในทางเลวร้ายอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน  ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบใช้อำนาจหรือปกครองหรือปฏิบัติหรือตัดสินตามรัฐธรรมนูญ  คือมาตรา 2  ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ  คือศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องตัดสินให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย  จะไปตัดสินแบบเผด็จการตามระบอบเผด็จการไม่ได้อย่างเด็ดขาด  การตัดสินผิดคือเผด็จการ  การตัดสินถูกคือประชาธิปไตย
          การก่อกำเนิดศาลรัฐธรรมนูญของไทยชุดนี้เป็นการก่อกำเนิดมาจากวิธีการเผด็จการ  คือการรัฐประหาร โดยคณะ คมช. เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549  การรัฐประหารเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐสภาโดยคณะ คมช. ไม่ได้สร้างประชาธิปไตยคือยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา  สร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงแต่อย่างใด  มีเพียงการสร้างรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ  คือรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549  และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เท่านั้น
          ดังนั้น  รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550  จึงเป็นรัฐธรรมนูญภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐสภาที่เกิดจากระบอบเผด็จการรัฐประหาร  แม้จะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (แห่งรัฐ)  แต่ในความเป็นจริง (Fact)  มีแต่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศที่มีอยู่จริง (Existence)  แต่การปกครองระบอบประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริงในการปกครองของประเทศ  มีอยู่แต่ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น ส่วนที่มีอยู่จริงคือการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภาที่หลอกลวงประชาชนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ดังคำกล่าวสรุปว่า  ประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษ แต่เผด็จการรัฐสภาในแผ่นดิน  เกิดความขัดแย้งกันระหว่างรัฐธรรมนูญกับประเทศ   แผ่นกระดาษย่อมสู้แผ่นดินไม่ได้  ในที่สุดแผ่นกระดาษก็ถูกฉีกถูกลบล้างถูกแก้ไขไป
          เมื่อรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550  อันเป็นบ่อเกิดของศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้  เป็นรัฐธรรมนูญภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐสภาที่เกิดจากระบอบเผด็จการรัฐประหารที่ขัดแย้งกับการปกครองจริงของประเทศ  จึงทำให้เกิดปัญหาต่อทุกองค์กรในรัฐธรรมนูญ  รวมทั้งต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย  ซึ่งตรงข้ามกับการก่อกำเนิดของศาลรัฐธรรมนูญทั่วโลก เช่น ศาลรัฐธรรมนูญศาลแรกในโลกของประเทศสหรัฐอเมริกา  ที่เขาสร้างประชาธิปไตยก่อนเสร็จแล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญ  ซึ่งสะท้อนภาพการสร้างประชาธิปไตยอยู่ใน The Federalist Paper  จำนวน 84 ฉบับ  ซึ่งใช้เวลาสร้างประชาธิปไตยเป็นเวลา 15 ปี (ค.ศ. 1775 — 1787) และได้ตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นเรียกว่า  ศาลสูงสุด  (The Supreme Court)  เมื่อ ค.ศ. 1787 อีก 2 ปีต่อมาได้ตราพระราชบัญญัติรองรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและศาลสหรัฐ  เรียกกันว่า The Judiciary Act, 1789  จึงได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ตั้งแต่บัดนั้นมา (ค.ศ. 1789)
          แต่ศาลรัฐธรรมนูญของไทยตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ไม่มีพระราชบัญญัติรองรับแต่อย่างใดตั้งแต่ก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญจนถึงบัดนี้ (พ.ศ. 2550 — 2555) แม้ว่าในมาตรา 300 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549 จะกำหนดบังคับไว้ว่า ในระหว่างที่ยังมิได้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจออกข้อกำหนดเกี่ยวกับวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยได้  แต่ทั้งนี้ต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้  แต่ก็ต้องสิ้นผลบังคับไป (Non - Operative Clause) ตามหลักนิติธรรมที่บัญญัติไว้ในมาตรา 3 วรรคสองของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549  ย่อมให้ผลบังคับทันที เพราะเป็นบทบัญญัติที่มีผลบังคับก่อนทางกฎหมายของบทบัญญัติมาตรา 3 ที่เป็นหลักการใหญ่ของการแบ่งแยกอำนาจทั้ง 3 คือนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เป็นข้อห้ามขาดและให้ผลบังคับตามมาตรา 6 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้  ย่อส่งผลไปบังคับทันทีแก่มาตรา 300 วรรคที่ 5  ดังกล่าวข้างต้น
          อีกทั้งไม่มีกฎหมายลูก (พระราชบัญญัติ) ที่ออกมารองรับให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญที่จะใช้อำนาจให้กระทำการเช่นนั้นได้ตามหลักการและวิถีปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นหลักสากล (The Universal Rules)  การออกข้อกำหนดเกี่ยวกับวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 300 วรรคที่ 5 ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาดเพราะขัดต่อหลักสากลที่เขาใช้กันโดยแพร่หลาย (The Prevailing Rules) ในศาลรัฐธรรมนูญทั่วโลก
          ด้วยเพราะอยู่ภายในเงื่อนไขของระบอบเผด็จการรัฐสภาอันจำกัดและเป็นอุปสรรคขวางกั้น  จึงทำให้การร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550  ที่มาจากธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549  เกิดลักษณะเผด็จการไม่เป็นไปตามลักษณะของประชาธิปไตยดังกล่าว  นั่นคือตามมาตรา 300  และไม่สามารถออก พ.ร.บ. รองรับได้ อีกทั้งการฟ้องคดีหรือการนำข้อพิพาทไปสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไทยครั้งนี้นั้นยังไม่มีความเป็นคดีและข้อพิพาทในทางคดี (Case & Controversy)  ที่จะก่อให้เกิดอำนาจในการนำคดีดังกล่าวไปสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ  ซึ่งเป็นวิธีการฟ้องคดีหรือนำเสนอการร้องขอปลดเปลื้องทุกข์ที่ไม่อาจใช้วิธีอื่นใดได้ต้องนำเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญไทยเท่านั้น  เมื่อไม่เป็นไปตามหลักการและวิธีปฏิบัติทางสากล  การจะบังคับตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปัจจุบันในมาตรา 261 วรรคที่ 5  ย่อมไร้ผลอยู่ในตัว  นั่นคือไม่มีผลผูกพันรัฐสภา รัฐบาล และศาล และองค์กรอื่น ๆ ของรัฐแต่อย่างใดทั้งสิ้น
          ดังนั้น  ถ้าพิจารณาด้านเจตนารมณ์แล้วถือว่าทั้งผู้ร้องและศาลรัฐธรรมนูญก็มีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง  คือต้องการรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐไว้ให้มีความมั่นคงยั่งยืนตลอดไป แต่มีความเห็นผิดว่าระบอบปัจจุบันคือระบอบประชาธิปไตยตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ในมาตราที่ 2  ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (แห่งรัฐ)  ถ้าผู้ร้องและศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นถูกว่าระบอบปัจจุบันเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา  ก็จะถูกต้องทั้ง 2 ด้านของเหรียญ  คือด้านเจตนารมณ์กับด้านความเห็น  ก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาชาติและประชาชนสำเร็จเสร็จสมบูรณ์อย่างแน่นอนด้วยการสร้างประชาธิปไตย  ไม่เดินตามแนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญอีกต่อไป
          ส่วนด้านรัฐบาลและผู้ร่วมขบวนการที่ต้องการจะพัฒนาประชาธิปไตย (ปฏิรูป) ต้องการให้มีระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ย่อมเป็นเจตนารมณ์ที่ถูกต้องเช่นเดียวกันแต่มีความเห็นผิดว่าระบอบปัจจุบันคือระบอบประชาธิปไตจะต้องพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้สมบูรณ์   แต่เข้าใจผิดว่าจะต้องพัฒนาประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ด้วยการแก้ไขหรือการร่างรัฐธรรมนูญ  ถ้ามีความเห็นถูกว่าระบอบปัจจุบันคือระบอบเผด็จการรัฐสภา   และจะต้องสร้างประชาธิปไตยด้วยนโยบายเป็นเครื่องมือ  ตามแบบอย่างพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของ ร.5  ร.6  ร.7  และนโยบาย 66/23  หรือนโยบายสร้างประชาธิปไตยอันเป็นไปตามดุสิตโพล์ที่ประชาชให้ถอยการสร้างรัฐธรรมนูญ  แต่ให้เดินหน้าสร้างประชาธิปไตย  โดยชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน 45.23 %  และถ้ารัฐบาลถอยทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ. ปรองดอง  ประชาชน 50.32 % เชื่อว่ารัฐบาลอยู่ครบวาระ  อันเป็นภาพสะท้อนของประชามติแบบประชาธิปไตย  คือให้สร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จจึงค่อยร่างรัฐธรรมนูญ  และออก พ.ร.บ.ปรองดอง  ซึ่งเป็นประชามติที่ถูกต้องอย่างที่สุดตามหลักวิชา  โดยเชื่อมั่นว่าฝ่ายที่คิดด้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ปรองดองจะเ เห็นด้วยและร่วมสนับสนุนอย่างแน่นอน   ซึ่งไม่ใช่การเดินกันคนละทางหรือการพบกันครึ่งทาง  แต่เป็นการเดินทางเส้นเดียวกัน  คือทางสายประชาธิปไตยที่แท้จริงนั่นเอง   นี่คือการสร้างความปรองดองที่ถูกต้องและจะบรรลุความสำเร็จได้จริง  ไม่ใช่อุดมการณ์บนเส้นขนาน   แต่เป็นอุดมการณ์บนเส้นทางเดียวกัน  ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย 66/23  ขั้นตอนที่ 2 ขั้นตอนสูงสุดเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด  หรือเริ่มต้นกันใหม่หมดตามครรลองประชาธิปไตยและวิถีทางรัฐธรรมนูญซึ่งมีอยู่หลายวิธี
          อนึ่ง  รัฐสภาชุดนี้มีที่มาจากการเลือกตั้งอันเป็นผลมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ชอบด้วยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 165 (1)(2)  เมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญตกเป็นโมฆะ  การเลือกตั้งที่มีผลมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยตรงในสมัยที่นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  ดังนั้นรัฐสภาชุดนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยได้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  จึงไม่มีอำนาจที่จะออกกฎหมายใด ๆ และทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้แต่ออย่างใดทั้งสิ้น



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ