นายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงาน แถลงผลการวินิจฉัยในกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นระหว่างการประชุมสภาฯวันที่ 8 ก.พ.ว่า ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีเดินทางออกมาจากรัฐสภายังอยู่ในช่วงแรกของการประชุม ซึ่งยังไม่มีประเด็นที่นายกรัฐมนตรีต้องชี้แจงต่อที่ประชุม และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนตรีก็เดินทางกลับเข้าไปที่รัฐสภาอีก จึงไม่ถือว่าขาดประชุมตามระเบียบว่าด้วยการลาการประชุมของสภาฯ
อีกทั้งไม่ปรากฎหลักฐานที่ชี้ชัดว่า การไปพบกับนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจหรือนำไปสู่การได้ประโยชน์ของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และสถานที่ดังกล่าวก็เป็นสถานที่เปิดเผย มีผู้ร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีหลายคน และไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดได้ว่า มีการกระทำส่อไปในทางชู้สาว จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง
โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยังกล่าวถึงกรณีที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ร้องเรียนนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติผิดมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนนโยบายบ้านหลังแรก ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าการกำหนดมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ตามนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาลตามคำร้องเรียนนี้ ที่กำหนดให้มัมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาทเป็นการริเริ่มและเสนอโดยกระทรวงการคลังมาตั้งแต่ต้น และบมจ. เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) มีโครงการที่ได้รับประโยชน์ 9 โครงการ จากทั้งหมด 38 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการเพียง 4.39%คิดเป็น 0.16% ของจำนวนยูนิตบ้านจัดสรรและคอนโดในยม ที่ราคาขายไม่เกิน 5 ล้านบาท
ส่วนที่นายกรัฐมนตรี มีหุ้นอยู่ใน บลจ.แอสเซทพลัส 0.85% นั้น ก็ไม่เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี กำหนดให้ถือหุ้นได้ไม่เกิน 5% ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณาทั้ง 2 เรื่อง