พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้าการปรับกำลังพลในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งต้องดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนที่ประสานงานกันไว้ ซึ่งขณะนี้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน ได้ลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมการปรับกำลังพล
สำหรับพื้นที่ของไทยจะนำกำลังตำรวจตระเวนชายแดนรวมถึงตำรวจท้องที่ไปทดแทนกำลังทหารในทุกจุด โดยให้ทหารเปลี่ยนไปอยู่ด้านหลังแทน ซึ่งการถอนทหารจะค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้เคลื่อนย้ายทั้งหมดในทันที
ทั้งนี้ การปรับกำลังเป็นไปตามแนวปฏิบัติของศาลโลกที่ให้อินโดนีเซียเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ โดยไทยจะทำข้อตกลงร่วมกับกัมพูชา เพื่อกำหนดขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของอินโดนีเซีย
ส่วนปัญหาชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระนั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยประท้วงไปหลายครั้งแล้ว ทั้งการตั้งชุมชนและการตัดถนนใกล้ชายแดนมากเกินไป แต่ทางกัมพูชายังไม่ดำเนินการใดๆ ซึ่งไทยจะใช้วิธีการเจรจาต่อไป
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยืนยันว่า จะไม่ยอมให้กำลังทหารกัมพูชา ซึ่งประจำอยู่ในหุบเขาขึ้นมาบนพื้นที่สันเขาซึ่งทหารไทยประจำการอยู่อย่างแน่นอน
พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า การจะดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรโดยรอบปราสาทพระวิหารจะต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมรัฐสภา เพื่อให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว
ส่วนความเป็นไปได้ที่กัมพูชาจะถอนฟ้องคดีดังกล่าวในศาลโลกนั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า คงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากมีการถอน กัมพูชาจำเป็นต้องหาเหตุผลไปชี้แจงกับประชาชนอีก ซึ่งไทยเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศกัมพูชา
ส่วนกรณีที่มีมวลชนออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการปรับกำลังในครั้งนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่าเป็นความกังวลของประชาชนเท่านั้น พร้อมยืนยันไทยไม่เสียอธิปไตยแน่นอน