นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทย(ภท.) ส่งสัญญาณว่าจะเทคะแนนเสียงหากมีการทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ไม่ใช่เรื่องที่พรรคใดจะเทคะแนนให้ใคร แต่เป็นเจตนารมณ์ของประชาชนที่หากเห็นว่ารัฐธรรมนูญมาจากรัฐประหารและขัดต่อหลักประชาธิปไตย ประชาชนอยากให้แก้ก็แสดงเจตนารมณ์ แต่หากพรรคการเมืองใดคิดว่าเป็นเจ้าของคะแนนเสียงถือเจตนารมณ์ของประชาชนไว้ได้ แสดงว่ากำลังเข้าใจผิด และรัฐธรรมนูญฉบับนั้นก็ไม่น่าใช้ แต่ถ้าเป็นเจตนารมณ์บริสุทธิ์ของประชาชน จึงจะเป็นกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง
"ถ้ามีพรรคการเมืองใดถือคะแนนเสียงของประชาชน และคิดว่าจะโยกซ้ายโยกขวาได้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะคะแนนเสียงทั้งหมดเป็นอำนาจของประชาชน"นายณัฐวุฒิ กล่าว
พร้อมมองว่า ถ้าการทำประชามติทุกคะแนนแต่ละพรรคมีการเทคะแนนให้กันเชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับนั้นก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ถ้าเป็นเจตนาบริสุทธิ์เกิดจากความรู้ความเข้าใจของประชาชนนั่นถือว่าเป็นการปกครองสูงสุดของประเทศอย่างแท้จริง
สำหรับความชัดเจนว่าควรโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 เลย หรือต้องทำประชามติก่อนนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า จุดยืนของพรรคเพื่อไทยชัดเจนหมดแล้ว แต่ขณะนี้มีจุดร่วมกันคือรอการเผยแพร่คำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งจะเป็นจุดร่วมที่คนทั้งประเทศรับได้ เพราะเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจากคำวินิจฉัยที่ผ่านมาไม่มีสถานะเป็นคำตัดสินแต่ถือเป็นคำแนะนำ ทั้งนี้ต้องการดูว่าลายลักษณ์อักษรและกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร และหลังจากนั้นพรรคเพื่อไทยจะมีการหารือกันอีกครั้ง
ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทยออกมาแสดงความเห็นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ จะถือเป็นส่งสัญญาณเพื่อเข้าร่วมรัฐบาลและเป็นช่วงเดียวกับที่จะมีปรับครม.หรือไม่นั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การปรับครม.เป็นดุลยพินิจนายกรัฐมนตรีที่จะตัดสินใจ โดยส่วนตัวเห็นว่าเสียงของรัฐบาลและพรรคร่วมก็มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะบริหารประเทศตามนโยบายที่ประกาศกับประชาชนไว้ได้ ทั้งนี้ไม่เห็นว่าพรรคร่วมพรรคใดจะมีปัญหาในการทำงาน อย่างไรก็ดี การปรับครม.เป็นแต่เพียงการคาดการณ์กันไปแต่ยังไม่มีการส่งสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี