พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่าน Skype มายังที่ทำการพรรคเพื่อไทยในงานเปิดห้องสมุด"ทักษิณ ชินวัตร" เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 63 ปี โดยมีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ มีสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และส.ส.เพื่อไทยมาร่วมงานจำนวนมาก ภายในงานมีการแจกหนังสือ "ตาดูดาว เท้าเดินดิน ภาคพิเศษ ครบรอบ 11 ปี" เป็นของที่ระลึก โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้ผู้ที่มาร่วมงานช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมือง และเชื่อว่าอีกไม่นานจะได้กลับบ้าน
"ในวันเกิดมีหลายคนเดินทางมาหาถึงฮ่องกง บางคนมาแล้วกลับไปแล้ว บางคนไม่ได้มา แต่ถึงจะมาหรือไม่มาก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจ ที่ต้องร่วมกันสร้างบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง"พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
พร้อมทั้งระบุว่า ขณะนี้เป็นยุค Knowledge is power คือ นำข้อมูลข่าวสารมาย่อยเป็นความรู้ ยิ่งอ่านหนังสือยิ่งมีความรู้มาก จึงอยากให้คนไทยอ่านหนังสือ ห้องสมุดแห่งนี้รวบรวมหนังสือที่ตนเคยอ่าน และหนังสือที่ได้ซื้อไว้ระหว่างเร่ร่อนในต่างประเทศถึง 6 ปี เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่าตนกำลังคิดอ่านอะไรอยู่ และจะทยอยส่งหนังสือมาให้เป็นระยะๆ เพราะหากจะนำกลับไปคราวเดียวตอนได้กลับเข้าประเทศคงจะหนักมากเกินไป
"ถ้ากลับบ้านแล้วให้ขนไปทีเดียวมันหนัก เพราะอีกไม่กี่วันจะได้กลับบ้านแล้ว ตอนนี้ได้วีซ่าเข้าได้ทุกประเทศทั่วโลก เหลือแต่ประเทศไทยไม่รู้จะเป็นใคร จะออกวีซ่าให้ เลยยังไม่ได้เข้าประเทศ" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า อยากชวนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาอ่านหนังสือในห้องสมุดแห่งนี้ด้วย จะได้รู้ว่าที่เคยคิดว่าเงินคือ power เลยแกล้งยึดเงินไป 60% นั้น แต่จริงๆแล้ว power อยู่ที่ knowledge
"วันนี้อย่าเอานิยายมาพูดกัน ควรเอาความรู้มาคุยกัน บ้านเรานักแต่งนิยายเยอะ นักการเมืองหลายคนเป็นนักเล่านิยาย ไม่ได้เล่าความรู้ อยากให้นักการเมืองทุกซีกได้อ่านหนังสือ จะได้เล่าความรู้มากกว่านิยาย นิยายที่เน่าเป็นพิเศษมักได้รับความนิยม นักการเมืองไม่รู้คิดว่าจะดี เลยเอาเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นบนทีวี วิทยุเรื่อยๆ ทั้งนี้จะส่งหนังสือดีๆ กลับไปให้เรื่อยๆ อยากเชิญพรรคพวกมาอ่านหนังสือ ไม่ต้องอ่านทั้งวันทั้งคืนก็ได้ความรู้ แค่เดินผ่านชั้นหนังสือดูชื่อหนังสือ ดูบทนำนิดหน่อยก็รู้แล้วว่า โลกไปถึงไหนแล้ว หรือดูกูเกิลก็ช่วยได้ ขอเชิญคนไทยทุกคน พรรคประชาธิปัตย์มาด้วยก็ยินดี พรรคเพื่อไทยต้องใจกว้าง ใครใจแคบกับเราไม่เป็นไร แต่เราต้องใจกว้างกับทุกคน"
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า สิ่งที่วุ่นวายในบ้านเมือง เพราะคนไม่รู้มากกว่าคนรู้ คนไม่รู้เสียงดังกว่า คนไม่รู้ชอบนำคนรู้ คนรู้ก็เลยเขว ปล่อยคนไม่รู้นำ หลงทางพักใหญ่ วันนี้คนที่หลงหลบไปแล้ว เขาอายแล้วที่เผลอให้คนต้มเอา วันนี้ความจริงปรากฏ ความรู้ทำให้ความจริงปรากฏ ขอให้พวกเรานำความรู้ ความจริง พรรคเพื่อไทยอย่าเล่านิยายให้ประชาชน ให้เอาความจริงความรู้ไปเล่าจะได้สร้างสรรค์ประเทืองความฉลาดให้สังคม
จากนั้น นายสมชาย เป็นตัวแทนคณะผู้บริหารพรรคกล่าวอวยพรวันเกิดให้พ.ต.ท. ทักษิณ จากนั้นได้มีการถ่ายรูปร่วมกันผ่านวิดีโอลิ้งค์
สำหรับหนังสือ"ตาดูดาวเท้าติดดิน" ที่พ.ต.ท.ทักษิณ แจกเป็นที่ระลึกในงานเปิดห้องสมุดนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เขียนบทนำขึ้นมาใหม่ เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของความปรองดอง สรุปได้ว่าช่วงระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา มีประสบการณ์ที่ภาคภูมิใจและขมขื่นใจ ตนภาคภูมิใจที่พรรคไทยรักไทยสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการเมืองไทยด้วยการชนะการเลือกตั้ง ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างถล่มทลาย และบริหารประเทศด้วยนโยบายที่ทำสิ่งดีๆ มากมายให้กับประชาชน เป็นเพราะตนโตมาในชนบท จึงเข้าใจอุปสรรคที่ยากจนของประชาชนส่วนใหญ่ เมื่อเป็นรัฐบาลเราพยายามสร้างโอกาส เพื่อให้พวกเขาสามารถลุกยืนขึ้นมาได้
การเป็นนายกรัฐมนตรี จึงเป็นเหมือนช่องทางหนึ่งที่ทำให้ตนได้ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองและประชาชน แม้ว่าในช่วงระยะเวลากว่า 5 ปีที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีอาจจะทำอะไรได้ไม่สมบูรณ์ และอาจไม่ถูกใจคนทุกคน แต่สิ่งสำคัญที่ตนภาคภูมิใจคือ การบริหารงานที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับประโยชน์ และมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของรัฐบาล
ดังนั้นเมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นในปี 2549 จึงเป็นจุดหักเหสำคัญที่ดึงประโยชน์ออกจากประชาชน และสร้างปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นอีกมากมายให้กับประเทศ สังคมไทยเดินเข้าสู่วังวนของความขัดแย้งและแตกแยกอย่างรุนแรงถึงขั้นทำลายล้างกัน จนเสียเลือดเสียเนื้อ บาดเจ็บและเสียชีวิต ตนไม่ต้องการให้ความขัดแย้งดำเนินต่อไป เพราะพวกเราเจ็บปวดมามากพอแล้ว ตนอยากเห็นการปรองดอง อยากเห็นประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียวและไม่แตกแยกอีกต่อไป ตนไม่คิดจะแก้แค้น พร้อมที่จะร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อช่วยกันแก้ไขสิ่งที่เคยผิดพลาด เราต้องทำให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ประเทศต้องสมานฉันท์ ต้องร่วมมือกันเดินออกจากวังวนของปัญหาและความขัดแย้งเพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่ดี
"วันนี้ประเทศใกล้ถึงขั้นล้มเหลว ทุกกลไกต่างๆ ในประเทศเกือบไม่สามารถทำงานได้เพราะไม่เคารพกติกา ไม่ยอมใช้หลักนิติธรรม มีแต่อคติในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่รู้จบ ดังนั้น เราต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายเพื่อดึงประเทศไทยให้กับคืนสู่สภาวะปกติ ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่สามารถแก้ไขปัญหาของประชาชน สร้างความสุข และความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยเราอีกครั้ง"