ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กรณีทำหนังสือส่งตัว ส.ส.ปชป.และบุคคลอื่นจำนวน 19 คนไปช่วยราชการที่กระทรวงวัฒนธรรม อันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266(1)
"สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการตรากฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีและฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา...การไปช่วยราชการในกระทรวงวัฒนธรรมซึ่งเป็นฝ่ายบริหารจึงไม่ใช่หน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ประชุมฯ เห็นว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูล เพราะไม่ปรากฎข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานว่ารู้เห็นเป็นใจกับพฤติการณ์ของนายสุเทพ
คำร้องดังกล่าวสืบเนื่องจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย(พท.) จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าชื่อยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาให้ดำเนินการถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นออกจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ มีมติให้ส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่ พร้อมทั้งความเห็นไปยังวุฒิสภาเพื่อพิจารณาโดยเร็วต่อไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสี่ ซึ่งมีผลเรื่องการถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี