เอแบคโพลล์ เผยผลงานยอดเยี่ยมของรัฐบาลในช่วงครึ่งปีแรก อันดับแรก 63.3% ระบุเป็นภาพลักษณ์ดูดี ความพยายามทุ่มเททำงานหนักของนายกรัฐมนตรีหญิง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รองลงมา 61.6% ระบุเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และการรักษาประชาธิปไตย ดันดับสาม 54.8% ระบุความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อันดับสี่ 48.2% ระบุการแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ และอันดับห้า 47.3% ระบุการสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว นักธุรกิจ และนักลงทุนต่างชาติ
โดยผลงานที่รัฐบาลต้องปรับปรุง อันดับแรก 86.9% ระบุราคาสินค้า น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าครองชีพ ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน อันดับสอง 70.5% ระบุปัญหายาเสพติด อาชญากรรม แหล่งมั่วสุมในชุมชนที่พักอาศัย อันดับสาม 69.3% ระบุปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ อันดับสี่ 62.5% ระบุการเยียวยาฟื้นฟูบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยน้ำท่วม และอันดับห้า 58.1% ระบุปัญหาคุณภาพเด็กและเยาวชน
ส่วนสาเหตุของปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ อันดับแรก 55.7% ระบุเป็นปัญหาขบวนการค้ายาเสพติด ค้าอาวุธสงคราม การผสมโรงกันก่อการร้าย อันดับสอง 46.6% ระบุความไม่เป็นเอกภาพของ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน อันดับสาม 45.3% ระบุปัญหาทุจริตคอรัปชั่น อันดับสี่ 44.95 ระบุความล่าช้าในการเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุ และอันดับห้า 42.1% ระบุเจ้าหน้าที่บางหน่วยใส่เกียร์ว่าง ขัดแย้งกันเอง
เมื่อสอบถามถึงพฤติกรรมของคนไทยที่กำลังจางหายไป อันดับแรก 87.2% ระบุเป็นเรื่องความรักความสามัคคี อันดับสอง 81.9% ระบุการให้อภัยต่อกัน อับดับสาม 78.4% ระบุความซื่อสัตย์สุจริต อันดับสี่ 73.2% ระบุความเสียสละ และอันดับห้า 71.2% ระบุความเคารพ ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่กำลังจางหายไป
ขณะที่พฤติกรรมของคนไทยที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อันดับแรก 79.1% เป็นเรื่องของการใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย อันดับสอง 66.2% ระบุการฝ่าฝืนกฎจราจร ไม่มีวินัย อันดับสาม 63.9% ระบุการฉกฉวยโอกาส เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น อันดับสี่ 62.6% ไม่มีน้ำใจ ไม่ยอมกัน มุ่งเอาชนะคะคานกัน และอันดับห้า 62.0% ระบุคนไทยสมัยนี้ไม่กลัวเสียหน้า ไม่อายสังคม
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความหวังกับความกลัวที่จะก้าวไปข้างหน้าภายใต้การนำของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบว่า อันดับแรก 64.5% ยังมีความหวังที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า แต่อีก 35.5% มีความกลัวต่อเหตุการณ์ข้างหน้าที่จะเกิดขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบแนวโน้มความหวังกับความกลัวที่เคยสำรวจเมื่อปลายปีที่แล้ว พบว่า ประชาชนมีความหวังเพิ่มขึ้นจาก 53.8% ในเดือน ธ.ค.54 มาอยู่ที่ 64.5% ในการสำรวจครั้งนี้ ขณะที่ความกลัวลดลงจาก 46.2% มาอยู่ที่ 35.5%
นายนพดล กรรณิกา ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทั้งประเทศต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แบ่งแยก ต้องกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงบนครรลองของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเพื่อเชื่อมโยงคนไทยส่วนใหญ่ด้วยความจงรักภักดีและรักษาสถาบันสำคัญบนพื้นแผ่นดินไทยไว้ โดยยึดกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นเสาหลักสำคัญของประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดการทำลายอำนาจรัฐและความน่าเชื่อถือศรัทธาของสาธารณชนต่อสถาบันที่ทำตามกันจนกลายเป็นขบวนการเครือข่ายกว้างขวางขึ้นอันนำไปสู่การใช้กฎหมู่เหนือกฎหมายและการใช้ความรุนแรงบานปลายจนกระทบต่อวิถีชิวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความมั่นคงของประเทศชาติโดยรวม เพื่อการต่อรองผลประโยชน์ของคนเฉพาะกลุ่ม เฉพาะพื้นที่
"การรณรงค์เคลื่อนไหวในมิติเชิงสังคมจำเป็นต้องทำอย่างจริงจังต่อเนื่องเพื่อให้พฤติกรรมเชิงสร้างสรรค์ของคนไทยฟื้นคืนกลับมาเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เช่น ความรักความสามัคคี ความมีน้ำใจไมตรีเกื้อกูลกัน การรู้จักให้อภัยต่อกัน ความเสียสละ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป ต่อสายตาของสังคม ความรู้ผิดชอบชั่วดี ความรู้คุณแผ่นดิน ความตระหนักถึงความเสียสละของบรรพบุรุษ และเลือดเนื้อของผู้รักชาติในปัจจุบัน เป็นต้น โดยพฤติกรรมเชิงสร้างสรรค์ในมิติทางสังคมเหล่านี้น่าจะเป็นพลังและแรงบันดาลใจให้คนไทยอยู่ร่วมกันเป็นเอกภาพและดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์หรือ DNA ของความเป็นคนไทยบนผืนแผ่นดินเดียวกันตลอดไป" ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าว
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จัดทำผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง "ประเด็นข่าวร้อน ผลงานยอดเยี่ยม และต้องปรับปรุงของรัฐบาล กับพฤติกรรมคนไทย ความหวัง และความกลัว ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดปัจจุบัน" โดยสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัด จำนวนทั้งสิ้น 2,229 ตัวอย่าง ช่วงวันที่ 20-28 ก.ค.ที่ผ่านมา