นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.ยื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 3 และให้สั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากการยื่นคำร้องของนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคชาติไทยพัฒนากระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่งนั้น ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดแล้วว่าไม่ปรากฎข้อเท็จจริง และให้ยกคำร้องของนายวิรัตน์ ดังนั้น จึงเห็นว่าการกระทำของนายวิรัตน์และพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นการล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติของรัฐสภา
พร้อมกันนั้น นายเรืองไกร ยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยกเลิกการแจ้งคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญตามหนังสือเลขที่ ศร 0006/440 ลงวันที่ 1 มิ.ย.55 ที่ให้ประธานรัฐสภาชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 และคำสั่งที่ 002/2555 ลงวันที่ 1 มิ.ย.55 ที่ให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งประธานรัฐสภาให้รอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ไปแล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เป็นไปเพื่อการล้มล้างการปกครอง ฯ ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.แต่หนังสือทั้ง 2 ฉบับยังคงอยู่ ส่งผลให้รัฐสภาไม่สามารถเดินหน้าลงมติวาระ 3 ได้
นอกจากนั้น นายเรืองไกร ยังระบุว่า จากการศึกษาคำวินิจฉัยกลางพบว่าศาลฯ ได้เปิดช่องทางให้มีการตั้ง ส.ส.ร.เนื่องจากในประเด็นที่ 3 ของคำวินิจฉัยกลาง มีส่วนหนึ่งที่ศาลระบุว่า“อย่างไรก็ตาม หากสภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะเป็นการเปลี่ยนการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์แล้ว ทั้งประธานรัฐสภาและรัฐสภาก็มีอำนาจยับยั้งให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไปได้” จะเห็นได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญได้เปิดช่องการลงมติในวาระ 3 เพื่อให้เกิด ส.ส.ร. ไว้ในคำวินิจฉัยกลางแล้ว