น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นัดประชุมที่บ้านพิษณุโลก เพื่อติดตามผลงานของรัฐมนตรีในพรรคเพื่อไทย โดยในภาพรวมนายกรัฐมนตรีพึงพอใจผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงแถลงผลงานรายกระทรวง โดยมอบหมายให้โฆษกประจำสำนักนายรัฐมนตรีประสานรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง พร้อมกับให้แจ้งกำหนดการต่อสื่อมวลชน โดยจะมีการแถลงผลการทำงานจนครบทุกกระทรวง
ส่วนการแถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปีนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสรุปภาพรวม โดยคาดว่าจะสามารถแถลงได้ไม่เกินกลางเดือนก.ย.นี้ และรัฐบาลจะนำเสนอเอกสารรายงานผลงานรัฐบาลต่อรัฐสภาได้ภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้ และยอมรับว่าในการแถลงผลงานรัฐบาล อาจจำเป็นต้องเปรียบเทียบกับผลการทำงานของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาด้วย
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมวันนี้ไม่ได้มีการหารือถึงการเตรียมความพร้อมรับมือที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพราะเชื่อว่าการแถลงผลงานรัฐบาลจะเป็นตัวชี้แจงประชาชนได้ชัดเจนดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมทำการบ้านหรือรับมืออะไรเป็นพิเศษ
ส่วนกรณีที่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมรัฐมนตรีเงาได้แถลงข่าว "1 ปีรัฐบาลเพื่อไทย ทุกข์ที่คนไทยจำทน" นั้น นายสุรนันทน์ มองว่า เป็นเพียงวาทะกรรมทางการเมืองมากกว่าจะเป็นเรื่องของเนื้อหาสาระ โดยสิ่งที่ฝ่ายค้านแถลงนั้นเป็นความพยายามในการโจมตีรัฐบาลว่าไม่ได้ดำเนินงานในหลายเรื่อง
"เมื่อฟังแล้ว เนื้อหาสาระยังเป็นเรื่องเดิมๆ หลายเรื่องที่ฝ่ายค้านแถลงที่บอกว่ายังไม่ได้ทำอะไรในหลายๆ เรื่อง ก็เป็นภาระที่รัฐบาลนี้รับมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนี้สิน เรื่องภาคใต้ หรือเรื่องเศรษฐกิจที่เกิดจากในอดีต ซึ่งเราจะเร่งแก้ไข" นายสุรนันทน์ ระบุ
ส่วนปัญหาการส่งออกปีนี้ที่อาจโตไม่ได้ตามเป้าหมาย ขณะที่หลายองค์กรได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการส่งออกลงนั้น นายสุรนันทน์ กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมงานกับภาคเอกชน โดยจะเร่งประชุมเพื่อหามาตรการเฉพาะในการให้ความช่วยเหลือผู้ส่งออก และจะเสริมมาตรการต่างๆ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็งขึ้น โดยยังเชื่อว่าไตรมาส 3 ภาพรวมทางเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น นอกจากนี้ยังต้องติดตามปัจจัยต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปลายปีนี้ เชื่อว่าอาจจะมีผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียไม่มากก็น้อย