รายงานข่าวจากรัฐสภา แจ้งว่า คณะกรรมาธิการ(กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณากรณีคลิปเสียงของนายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ข่มขู่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยทาง กมธ.ได้เชิญนายเจริญ ใจชน อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม, นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และนายฉลอง เข้าชี้แจง แต่นายดำรงค์ติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศจึงไม่สามารถเข้ารวมชี้แจงได้
นายเจริญ ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวมีชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านร้องเรียนพร้อมทำหนังสือมาที่ตนเองว่า มีนายทุนบุกรุกป่าเพื่อปลูกยางพาราตั้งแต่ปี 47 ทางอุทยานฯ จึงได้เข้าตรวจสอบพบว่านายไพบูลย์ เย็นใจ นายทุนและเป็นเพื่อนกับนายฉลองได้บุกรุกพื้นที่ป่าดังกล่าวจริง จึงได้เข้าเข้าตรวจสอบและดำเนินคดีตั้งแต่เดือน ส.ค.47 เรี่อยมาจนถึงเดือน ธ.ค.47
โดยผลการตรวจสอบพบว่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าจริงใน 3 คดี คือ คดีแรกเป็นการบุกรุกพื้นที่ 62 ไร่เพื่อปลุกยางพารา แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากขาดเจตนาแต่ทางอุทยานฯได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย และศาลมีคำพิพากษาว่าให้นายไพบูลย์ชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 3.5 ล้านบาท พร้อมทั้งขนย้ายอุปกรณ์ต่างๆ ออกจากที่พื้นพิพาท ซึ่งต่อมานายไพบูลย์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุธรณ์ภาค 7 ซึ่งต่อมามีคำสั่งให้นายไพบูลย์ชดเชยค่าเสียหายจำนวน 1.5 ล้านบาท
ส่วนคดีที่ 2 กรณีบุกรุกพื้นที่ป่า 40 ไร่ ศาลมีคำสั่งว่าขาดเจตนาและมีคำสั่งให้นายไพบูลย์ชดใช้เงินจำนวน 2.2 ล้านบาท ซึ่งนายไพบูลย์ได้ยื่นอุทธรณ์และศาลมีคำสั่งให้จ่ายเพียง 1.1 ล้านบาท ส่วนคดีที่ 3 มีการบุกรุกป่าจำนวน 1 ไร่ ศาลพิพากษาว่านายไพบูลย์มีความผิด โดยมีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาท แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี ส่วนคดีขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่นั้น ศาลสั่งจำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี
นายเจริญ ชี้แจงว่า หลังจากดำเนินคดีฟ้องร้องไปแล้วนั้น ตนเองได้เดินทางไปงานศพในพื้นดังกล่าวได้มีโอกาสพบกับนายไพบูลย์ และถูกนายไพบูลย์เดินมากะทบไหล่ แต่ตนเองก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ทั้งนี้เมื่อเย็นวันที่ 8 ก.ย.54 มีโทรศัพท์หมายเลข 06125888 โทรมาหาตนเอง 2 ครั้ง และอ้างว่าเป็นนายฉลอง โดยกำชับให้ตนเองอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของนายไพบูลย์ ตนเองจึงได้ไปแจ้งความกับตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้
ต่อมาวันที่ 21 ก.ย.54 มีการโทรมาข่มขู่ตนเองอีกครั้ง อ้างว่าเป็นนายฉลอง เรี่ยวแรง ความยาว 25.27 นาที โดยระบุว่าพื้นที่พิพาทดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ของอุทยานฯ แต่เป็นพื้นที่ของนิคมสร้างตนเอง จากนั้นวันที่ 22 ก.ย.54 นายไพบูลย์ได้เข้าพบกับผู้บังคับบัญชาของตนเองพร้อมสร้างเรื่องอันเป็นเท็จ และในวันที่ 23 ก.ย.54 ผู้บังคับบัญชาได้มีคำสั่งที่ 1172/ 2554 โยกย้ายให้ตนเองไปช่วยราชการที่สำนักงานกรมอุทยานแห่งชาติส่วนกลาง และได้แต่งตั้งบุคคลมาดำรงตำแหน่งแทน ซึ่งคำสั่งดังกล่าวให้ตนเองไปปฎิบัติหน้าที่ใหม่ในวันที่ 23 ต.ค.54
นายเจริญ ชี้แจงว่า หลังจากถูกสั่งย้าย นายไพบูลย์ก็ได้โทรศัพท์มาเยาะเย้ยถากถาง พร้อมทั้งระบุว่าเป็นฝีมือของนายไพบูลย์ที่สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายจนทำให้ตนเองถูกโยกย้าย จากนั้นเมื่อตนเองเข้ามาช่วยราชการที่ กทม. และในวันที่ 8 ธ.ค.54 ตนเองได้นำหลักฐานทั้งหมดเข้ายื่นต่ออธิบดี จากนั้นวันทื่ 14 ธ.ค.54 ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนจนมีผลสอบว่าตนเองไม่มีความผิด
ขณะที่นายฉลอง กล่าวว่า ยอมรับว่าคลิปเสียงที่ปรากฏเป็นคลิปเสียงของตนเองจริง และยืนยันว่าไม่เคยข่มขู่นายเจริญ และไม่เคยสั่งย้ายนายเจริญให้ไปช่วยราชการที่อื่น และสาเหตุที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว เพื่อต้องการไกล่เกลี่ยปัญหาระหว่างนายเจริญกับนายไพบูลย์ซึ่งเป็นเพื่อนกับตนเอง เนื่องจากนายไพบูลย์บอกกับตนเองว่า ถูกนายเจริญกลั่นแกล้งมาโดยตลอด ซึ่งจับกุมหัวปีท้ายปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้เปิดโอกาสให้กรรมาธิการได้ซักถาม โดยนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ถามว่า ทำไมเรื่องดังกล่าวผ่านมา 1 ปีแล้วจึงไม่เปิดเผยหากไม่ได้รับความเป็นธรรมควรจะมีการเปิดเผยมาตั้งนานแล้ว ซึ่งนายเจริญชี้แจงว่า คลิปเสียงดังกล่าวตนเองไม่ได้เปิดเผย แต่ได้มีการมอบคลิปและข้อมูลต่างๆ ให้กับผู้บังคับบัญชา เพราะตนเองกลัวเรื่องความไม่ปลอดภัย
ด้านนายฉลอง ชี้แจงว่า นายเจริญมีการเรียกรับเงินสินบนจำนวน 2 แสนบาท ซึ่งตนเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีข้าราชการเรียกรับเงิน จึงทำให้นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธาน กมธ.แย้งนายฉลองว่า เรื่องดังกล่าว นายฉลองไม่ได้แนบเอกสารที่จะพิจารณาในเรื่องการเรียกรับเงินสินบน 2 แสนบาทมาก่อน ทำให้นายเจริญชี้แจงว่า ตลอดชีวิตข้าราชการที่ผ่านมาไม่เคยเรียกรับเงินสินบนดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่มีประวัติเสียหายด้านนี้
จากนั้นนายฉลองและนายเจริญจึงชี้แจงในประเด็นดังกล่าวกว้างขว้าง โดยนายฉลองได้กล่าวขอโทษนายเจริญที่ใช้ถ้อยคำที่รุนแรง และรู้สึกเสียใจเมื่อทราบว่านายเจริญถูกสั่งย้าย พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปดำเนินการในเรื่องการสั่งย้าย เพราะเป็นหน้าที่ของอธิบดี
นอกจากนี้ ระหว่างการพิจารณาประธาน กมธ.ได้สอบถามฝ่ายกฎหมายว่า จะสามารถให้นายเจริญกลับไปช่วยราชการในพื้นที่ได้หรือไม่ตามการร้องขอ แต่ทางฝ่ายกฎหมายของ กมธ.แจ้งว่า ขัดข้อกฎหมาย ไม่สามารถดำเนินการตามที่ร้องขอได้ ขณะที่นายเจริญก็ไม่ได้ติดใจ แต่ให้เหตุผลเรื่องความไม่ปลอดภัย ทั้งนี้ นายนริศ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงใน กมธ.อีกครั้ง เพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างรอบด้าน