ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่ศาลอาญาชี้ว่าการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่ที่เป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ระหว่างการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ข้อเท็จจริงตามคำสั่งศาลชี้ว่ามีการใช้อาวุธโดยคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ซึ่ง ศอฉ.ในฐานะผู้ออกคำสั่งต้องรับผิดชอบต่อข้อเท็จจริงดังกล่าว
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องนำสำนวนชันสูตรพลิกศพส่งมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ซึ่งตนเองได้กำชับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี DSI ให้ดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง อย่ากลั่นแกล้งและอย่าปกป้องใคร อีกทั้งไม่ต้องรายงานข้อเท็จจริงมายังตนเอง เพราะไม่อยากให้ถูกมองว่าเข้าไปแทรกแซงรูปคดี
ส่วนกรณีดังกล่าวจะเป็นบรรทัดฐานให้การคลี่คลายคดี 98 ศพที่เหลือเร็วขึ้นหรือไม่นั้น ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า ขึ้นอยู่กับการไต่สวนของศาลที่ต้องพิจารณาเป็นรายคดีไป ตนเองไม่สามารถชี้ได้ว่าจะเอาผิดกับบุคคลใดได้บ้าง แต่จากพยานหลักฐานที่พบเชื่อว่าจะสามารถเอาผิดกับทุกคนที่เกี่ยวข้องได้
ส่วนรายงานฉบับสมบูรณ์ของการคณะกรรมการอิสระ ตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) นั้น ร.ต.อ.เฉลิม เห็นว่า รายงานที่ออกมาไม่มีผลผูกพันทางกฏหมาย ส่วนตัวไม่ขอโต้แย้งและแสดงความเห็น และเชื่อว่าจะไม่เป็นการชี้นำหรือมีผลต่อคำสั่งของศาล
นอกจากนี้ กรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) เดินทางไปยังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ก็เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประดับยศให้นั้น ไม่ใช่การคุกคาม แต่เป็นการแสดงความจริงใจมากกว่า
สำหรับการประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับ ส.ส.ปชป.ในช่วงบ่ายวันนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเสนอแนวทางแก้ปัญหาเพิ่มเติม และจะมีการหารือเฉพาะฝ่ายการเมืองด้วย แต่ยังไม่ทราบว่าจะหารือภายในวันนี้เลยหรือไม่ ส่วนจะได้ข้อสรุปอย่างไรนั้น ต้องรอผลการหารือก่อน ตนเองไม่สามารถตัดสินใจเพียงคนเดียวได้
ส่วนกรณีที่มีกลุ่มมุสลิมออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านสหรัฐอเมริกากรณีสร้างภาพยนตร์หมิ่นศาสนาอิสลามนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนเองได้รับรายงานว่าอาจจะมีการเผาธงชาติสหรัฐ ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ระมัดระวังในการดูแลความปลอดภัย แต่ขณะนี้ยังไม่พบว่าจะมีการก่อเหตุรุนแรง ทั้งนี้ตำรวจยังได้เฝ้าระวังภาคธุรกิจของสหรัฐที่เปิดทำการในประเทศไทยด้วย