นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษาของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รายงานสรุปของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมเมื่อปี 53 โดยระบุว่า เป็นรายงานที่ไม่สร้างสรรค์และยั่วยุ เพราะผู้เสียหายจะไม่ยอมรับรายงานที่ระบุว่าผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
"พวกเราทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รายงานฉบับนี้ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแทบทั้งหมดไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ถือเป็นรายงานที่ย่ำยีผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ...ผู้เสียหายจะไม่ยอมรับรายงานฉบับนี้ และจะไม่ยอมรับข้อมูลในทำนองเดียวกันที่รายงานพยายามกล่าวถึงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กองทัพใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม รวมถึงสิทธิพลเมืองในการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร" นายอัมสเตอร์ดัม กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา คอป.เปิดเผยรายงานสรุปฉบับสุดท้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.53 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 90 ราย ซึ่งนายอัมสเตอร์ดัมเห็นว่า เมื่อครั้งที่รัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่งตั้ง คอป.ก็มีคำถามถึงความเป็นอิสระ อำนาจ และสมาชิกภาพของคณะกรรมการฯ โดยนายคณิต ณ นคร ประธาน คอป.เองก็เคยได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลทหารหลังการปฏิวัติเมื่อ 3 ปีก่อนให้ตรวจสอบเรื่อง"การทำสงครามยาเสพติด" และยังเคยกล่าวด้วยว่า เขาไม่สนใจเรื่องความรับผิดชอบ แต่สนใจเฉพาะเรื่องการให้อภัย
นายอัมสเตอร์ดัม กล่าวว่า ไม่สามารถยอมรับรายงานของ คอป.ได้ เนื่องจากล้มเหลวในการชี้แจงถึงความไม่ชอบธรรมที่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกรัฐประหารในปี 49 ซึ่งสร้างความคับข้องใจให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่เรียกร้องประชาธิปไตย และในรายงาน คอป.ยังกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นต้นเหตุของการทำรัฐประหาร เหมือนกับที่อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวหาว่าผู้ชุมนุมวิ่งเข้าใส่กระสุนปืน
"รายงานของ คอป.เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมเมื่อปี 53 ล้มเหลวในการแก้ต่างเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เด่นชัดและถูกวิจารณ์ไปทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้บางพื้นที่ในกรุงเทพฯ กลายเป็นสนามรบ กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ยอมรับรายงานสรุปที่มีอคติและพยายามปกปิดการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติโดยคนบางกลุ่ม เราจะต่อสู้เรียกร้องความรับผิดชอบต่อไป เพื่อจะได้ไม่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ" นายอัมสเตอร์ดัม กล่าว