ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ไม่รับคำร้องคัดค้านโครงการรับจำนำข้าวไว้พิจารณา เนื่องจากไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาที่จะยับยั้งหรือยุติโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ประกอบกับผู้ร้อง ไม่ใช่บุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ
สืบเนื่องจาก รศ.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)กับคณะ ยื่นหนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อยับยั้งหรือยุติโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการไปแล้วและจะเริ่มรอบใหม่มีการใช้เงินไปแล้วจำนวนหลายแสนล้านบาทและยังมีต้นทุนอีกมากมาย
ทั้งที่ปกติหลักของการจำนำคือ การให้ราคาจำนำที่ต่ำกว่าราคาตลาดในระดับที่เหมาะสม เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรมาไถ่ถอนเพื่อนำไปขายเมื่อข้าวราคาปรับตัวสูงขึ้น แต่สำหรับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจงใจตั้งราคารับจำนำให้สูงกว่าราคาตลาดอย่างชัดแจ้ง โดยไม่ได้มีเจตจำนงให้เกษตรกรไถ่ถอนคืนแต่อย่างใด
การกระทำของรัฐบาลจึงไม่ใช่การรับจำนำแต่กลายเป็นพ่อค้าข้าวรายใหญ่ที่สุดรายเดียวของประเทศ อันเป็นการผูกขาด ตัดตอน ทำลายระบบการค้าของไทย และส่งผลต่อระบบการผลิตข้าวที่บิดเบือนกลไกการตลาด ซึ่งประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับไม่คุ้มกับทรัพยากรส่วนรวมของชาติที่เสียไป การกระทำของรัฐบาลในโครงการดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ
นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงศ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ศาลยืนยันว่าทำงานด้วยความเป็นกลางไม่ได้โดยแรงกดดันทางการเมือง ส่วนผู้ฟ้องจะนำเรื่องไปยื่นต่อหน่วยงานอื่นได้หรือไม่นั้นคงพูดก่อนไม่ได้ เพราะยังไม่เกิดขึ้น แต่ประเด็นสำคัญคือองค์กรนั้นๆ จะต้องดูว่ามีอำนาจในการพิจารณาหรือไม่
"แต่เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจพิจารณา และผู้ฟ้องก็ไม่มีอำนาจฟ้องด้วย"นายพิมล กล่าว