นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า โครงการนี้มีปัญหาเพราะขณะนี้ไทยสูญเสียรายได้สะสมปีละ กว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งหากรัฐบาลยังดำเนินโครงการนี้จะทำให้ไทยเสียโอกาส จากการขายข้าว ดังนั้นรัฐบาลจึงควรทบทวนนโยบายโดยคำนึงถึงประโยชน์ของเกษตรกร เพราะหากเกิดอะไรขึ้นรัฐบาลต้องรับผิดชอบที่ทำให้ประเทศเสียหาย ซึ่งนโยบายโครงการรับจำนำข้าวจะเป็นตัวฉุดรายได้ของประชาชนและส่งผลกระทบต่อโครงสร้างธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เพราะภาคส่งออกทรุดลงอย่างมาก รวมถึงนโยบายค่าแรง เพิ่มขึ้นทุกจังหวัดยังไม่มีมาตรการอะไรออกมารองรับเลย และนโยบายพลังงาน ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่มีรายได้ต่ำ ดังนั้น รัฐบาลควรมีแผนแต่ละนโยบายและมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าให้ชัดเจน
ส่วนการเดินหน้าเวทีสานเสวนาของรัฐบาลนั้น ยังไม่เห็นประโยชน์ของโครงการนี้ เพราะเป็นเพียงการใช้งบของประชาชนเพื่อประโยชน์ของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เรื่องที่จะนำไปสู่ความปรองดองอย่างแท้จริง จึงมองว่า รัฐบาลควรทำทุกอย่างให้ชัดเจน โดยเฉพาะการเดินหน้าแนวทางปรองดอง โดยขอให้กลับไปดูข้อเสนอในรายงานของ คอป. และนโยบายความปรองดองที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยิ่งวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งจะต้องตอบสังคมให้ได้ถึงทางออกที่แท้จริงจากปัญหาความขัดแย้งที่นำไปสู่การแตกแยกอีกรอบที่มาจากความไม่เข้าใจปัญหาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เอง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ จากนั้นเป็นอำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรที่จะบรรจุระเบียบวาระและประสานไปยังคณะรัฐมนตรี โดยฝ่ายค้านพร้อมอภิปรายทันที แต่ยังไม่ขอเปิดเผยเรื่องตัวบุคคลที่จะอภิปราย
ผู้นำฝ่ายค้านฯ ยังปฏิเสธว่า ไม่มีเรื่องจ้องล้มรัฐบาล หรือบันได 5 ขั้น เว้นแต่รัฐบาลจะตกบันไดเรื่องทุจริตเอง เพราะต้องยอมรับว่าทุกรัฐบาลมีปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ขณะที่รัฐบาลชุดนี้มีท่าทีชัดเจนไม่ยอมรับการตรวจสอบทั้งที่เป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย ส่วนจะอภิปราย น.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงคนเดียวหรือไม่ ยังไม่ขอตอบให้ไว้รอดูวันที่อภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งมุ่งประเด็นไปที่เรื่องทุจริตทั้งหมดอยากให้ประชาชนรอดูข้อมูลหลักฐานด้วยที่นำมาอภิปรายด้วย