ที่ผ่านมา เชื่อว่าทุกรัฐบาลรักชาติและต้องการปกป้องดินแดนเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด นอกจากนี้ ข้าราชการเมืองและข้าราชการประจำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพหรือกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็ทำดีที่สุดเพื่อปกป้องดินแดนกันทุกคน
"ขอยืนยันว่า นายชวนนท์ บิดเบือนและใส่ร้ายตัวผมและพรรคพลังประชาชน" นายนพดล ระบุ พร้อมชี้แจง 3 ประเด็นดังนี้
1. ช่วงก่อนรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ฝ่ายกัมพูชา ต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลก แต่รัฐบาล นายสมัครและตัวผมเป็นคนเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และให้ขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทที่ศาลโลกตัดสินว่าเป็นของกัมพูชาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นรัฐบาลสมัครและตัวผมเป็นผู้ปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน
ในส่วนของตัวปราสาทพระวิหารนั้นกัมพูชาเป็นเจ้าของ เขาจึงมีสิทธิ์นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วยตัวของเขาเองอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีคำแถลงการณ์ร่วม
2. คำแถลงการณ์ร่วมนั้น ศาลปกครองได้ตัดสินว่าเป็นโมฆะและไร้ผล รวมทั้งห้ามนำไปใช้อ้างอิงใดๆ
3. มติคณะกรรมการมรดกโลกปี 2551 ก็ระบุชัดเจนว่าห้ามอ้างอิงและใช้ประโยชน์ในคำแถลงการณ์ร่วมตามที่ศาลปกครองไทยตัดสิน ดังนั้นคำแถลงการณ์ร่วมจึงไม่มีผลใดๆ กับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่อยู่ในศาลโลกในปัจจุบัน
ส่วนในเรื่องคดีที่กัมพูชายื่นตีความเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารที่อยู่ในศาลโลกขณะนี้นั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ใช้ทีมทนายความและทีมกฎหมายที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งขึ้น โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็สนับสนุนการทำงานของทีมกฎหมายอย่างเต็มที่ และไม่มีการสมยอมกับกัมพูชาตามที่นายชวนนท์ กล่าวหา รวมทั้งไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชาอีกด้วย
"คงไม่มีใครชั่วพอที่จะสมยอมกับต่างชาติ เพื่อให้ประเทศตัวเองแพ้คดีในศาลโลก ซึ่งรัฐบาลจะชี้แจงข้อเท็จจริงต่อไป" นายนพดลระบุ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือการที่ฝ่ายค้านและคนบางกลุ่มหาผลประโยชน์จากกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหารและจุดกระแสคลั่งชาติเพื่อหวังผลการเมืองภายในประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลจะนำข้อมูลและข้อเท็จจริงเสนอให้ประชาชนเจ้าของประเทศได้รับทราบแบบครบทุกด้าน โดยจะทำเอกสารชี้แจงในทุกประเด็น