"ต้องแก้เล็กน้อยว่าวันที่ 15 เมษายนยังไม่มีคำตอบ คือวันที่ 15-19 เมษายน เราจะต้องไปสู้คดีในลักษณะที่ทุกคนทนายก็พูดให้ศาลผู้พากษาฟังทั้งสองฝ่าย 4 วัน ไทยหนึ่งวัน กัมพูชาหนึ่งวัน อีกวันหนึ่งก็ไทย อีกวันก็กัมพูชา จากนั้นศาลก็จะไปนั่งพิจารณากันเองไปคุยกันประมาณ 6 เดือน ประมาณเดือนตุลาคมช่วงปลายปีก็จะมีคำตัดสินออกมา" นายสุรพงษ์ กล่าวทางรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนทางสถานีโทรทัศน์ NBT เช้านี้
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การเตรียมการเริ่มตั้งแต่ต้น พอเรื่องนี้เข้าสู่ศาล ทีมทนายที่ตั้งขึ้นมาก็ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วซึ่งได้ว่าจ้างทีมทนายขึ้นมา โดยเป็นชาวต่างชาติซึ่งในโลกนี้มีอยู่ 50 คนที่เก่งทางด้านนี้ ไทยก็จ้าง 3 คน กัมพูชาก็จ้าง 3 คน ส่วนหัวหน้าทีมทนายของไทยมีนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก เป็นหัวหน้าทีมทนาย แต่ทางกัมพูชามีนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศกัมพูชา เป็นหัวหน้าทีมทนาย เป็นมาแบบนี้ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วเรื่อยมา
"รัฐบาลผมเข้ามารับ ก็ต้องใช้คณะเดิม เพราะเขาได้ศึกษาเตรียมข้อมูลต่างๆ มาตลอด รู้เรื่องดีทั้งหมดก็ไม่มีการเปลี่ยน ปีที่แล้วมีการนำเสนอเป็นเขียนจดหมายไปส่ง และศาลก็รับไป ก่อนไปทุกครั้งก็จะต้องมีการประชุมทีมกฎหมาย คณะทำงาน และไปอธิบายให้ท่านนายกฯ ฟัง ให้ทีมกฎหมายของท่านนายกฯ ได้รับทราบด้วย และมีข้อเสนอแนะอะไรไป ทีมกฎหมายของเราที่เป็นฝรั่งก็จะทำสิ่งเหล่านั้น" นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ทุกฝ่ายจะให้ข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดกับทีมทนายความเพื่อไปดูรูปคดีที่จำเป็นต้องสู้ ครั้งนี้ก็เช่นกันได้มีการประชุม 2-3 ครั้งแล้วเพื่อที่จะวางท่าทีให้กับทีมทนายที่จะไปสู้คดีในวันที่ 15-19 เมษายน โดยในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ หัวหน้าทีมทนายก็จะมาอธิบายให้นายกรัฐมนตรี, พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม, กระทรวงการต่างประเทศ และเลขาธิการกฤษฎีกา ฟังอีกรอบหนึ่ง และจากนั้นวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งเป็นนักกฎหมายจะพาทีมกลับไปคุยกับทีมฝรั่งอีกรอบหนึ่ง จากนั้นทีมฝรั่งก็จะได้ข้อสรุปท่าทีที่ชัดเจนว่าจะเสนออะไรก็นำกลับเข้ามาที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ในปลายเดือนมีนาคม หรือต้นเมษายน เพื่อขออนุมัติแนวทางที่จะนำไปสู้ในชั้นศาล จากนั้นอนุมัติเสร็จ เขาก็เตรียมการที่จะต่อสู้คดีในเดือนเมษายน
"วันที่ 15(เม.ย.) ผมก็จะนำคณะไป คราวนี้ก็จะพาสื่อมวลชนไปด้วย เพราะว่าจะได้เสนอข่าวในทิศทางเดียวกัน หรือจะได้เข้าใจตรงกัน เราได้เตรียมไว้หมดแล้ว และบางเรื่องก็ไม่สามารถพูดได้เพราะอย่างผมออกรายการวันนี้ทางกัมพูชาเขาก็เห็น ถ้าผมไปเล่ามากเขาก็จะเห็นแนวทางการต่อสู้ของเรา ต้องเล่าแค่นี้" นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ส่วนการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องนี้ได้จัดเตรียมไว้หมดแล้วครับ จะมีสารคดีออกมา มีการชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจโดยผ่านกระบวนการไปยังท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ลงไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้านไปถึงหมู่บ้าน และยังมีเอกสารประกอบไปให้ทุกท่านเข้าใจ นอกจากนั้นจะมีการฉายเรื่องความเป็นมา ทุกอย่างเล่าชัดเจนเพราะวันนี้เราต้องเข้าใจตรงใจ และในที่สุดเกิดผลออกมาอย่างไรเราก็ต้องนำเสนอว่า ถ้าผลออกมาเราจะปฏิบัติแบบนี้ เราไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ถ้าเราปฏิบัติจะเป็นอย่างไรก็ต้องให้คนไทยเข้าใจตรงกัน
"ผมไม่อยากเห็นว่าตอนนี้มีบางกลุ่มออกมาใช้เป็นประเด็นทางการเมือง เรียกร้องปลุกระดมให้เกิดความคลั่งชาติหรือรักชาติจนมากเกินไปแบบคราวที่แล้ว ในที่สุดก็ต้องรบกัน และคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณแนวชายแดนนั้นเขาก็ได้รับความเดือดร้อน เพราะคนที่ไปเรียกร้องก็ไม่ได้อยู่บริเวณนั้น พอเรียกร้องเสร็จก็กลับไปนอนบ้านตัวเอง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันหมดยุคแล้ว ผมคิดว่าวันนี้สื่อต่างๆ เข้าใจและเชื่อว่าการที่สื่อให้ความสนใจมาตั้งแต่ต้นปีก็เป็นสิ่งที่ดีสังคมไทยต้องอยู่ได้ด้วยเหตุด้วยผล และเรากับกัมพูชายังไงเราก็ต้องอยู่กับเขาต่อไป โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหว หรือแยกดินแดนไทยกับกัมพูชาคงไม่เกิดขึ้น" นายสุรพงษ์ กล่าว