ทั้งนี้ กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยเห็นชอบแนวทางจัดจ้างโครงการโดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค ซึ่งต่อมาได้อนุมัติยกเลิกและอนุมัติให้ สตช.จัดจ้างก่อสร้างอาคารรวมกันในครั้งเดียว เป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง และปรากฏว่ามีผู้ประกอบการถึง 8 บริษัทได้ยื่นหนังสือคัดค้าน แต่ไม่ปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพได้สั่งแก้ไข แต่กลับอนุมัติให้ดำเนินการอันถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพยังไม่ปฎิบัติตามมติของคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้ สตช.กระจายการจัดซื้อจัดจ้างไปยังหน่วยงานตามพื้นที่ที่ดำเนินการเพื่อให้โครงการสำเร็จเร็วขึ้น แต่กลับให้ดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างอาคารรวมกันในครั้งเดียวและเป็นสัญญาเดียว
ดังนั้น กรณีที่นายสุเทพ ได้อนุมัติให้ สตช.จัดหารวมกันในครั้งเดียวถือเป็นการกำหนดเงื่อนไขโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม เข้าข่ายความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 13 ประกอบมาตรา 11 และมาตรา12 เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 25542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 19 ดีเอสไอจึงเห็นสมควรส่งสำนวนการสอบสวนให้ ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป