"ผมจึงขอไม่เข้าร่วมปรึกษาหารือในวันนี้ และหากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะยังคงเลือกหนทางนี้โดยใช้อำนาจเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรต่อไปโดยไม่ฟังเสียงคนกลุ่มอื่น พันธมิตรฯ ก็ขอใช้สิทธิ์ในการคัดค้านและต่อต้านนอกสภาฯ อย่างถึงที่สุดตามที่ได้เคยประกาศจุดยืนมาแล้ว" นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า แม้นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร จะตอบสนองข้อเสนอในการเชิญตัวแทนทุกกลุ่มมากกว่าที่กลุ่มพันธมิตรฯ เสนออีก 3 กลุ่ม คือ ทหาร, พรรคภูมิใจไทย, กลุ่มเสื้อหลากสี แต่ในที่สุดก็เป็นที่ชัดเจนว่ากลุ่มที่พันธมิตรฯ เสนอให้เชิญมาร่วมประชุมได้ประกาศแล้วว่าจะไม่มาถึง 4 กลุ่ม คือ พรรคประชาธิปัตย์, นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม, องค์การพิทักษ์สยาม(อพส.) และ คอป.
การหารือตามข้อเสนอของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นได้ปรากฏเป็นคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ อดีตประธาน อพส.ว่าเห็นด้วยให้มีการนิรโทษกรรมแต่ไม่เข้าร่วมด้วย เพราะสนใจแต่ที่จะล้มรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ขณะที่นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ได้ส่งหนังสือถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า ให้ดำเนินการตามข้อเสนอในบทความของตนเอง และข้อเสนอของ คอป. โดยจะไม่ขอเข้าร่วมประชุม เนื่องจากบรรยากาศในขณะนี้ยังไม่เหมาะสม
ขณะที่นายคณิต ณ นคร อดีตประธาน คอป.กล่าวว่า จะไม่ขอเข้าร่วมในนาม คอป.เพราะได้ทำงานจบรายงานทุกอย่างแล้ว หากต้องการทราบจุดยืนให้อ่านจากรายงาน ดังนั้นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงสามารถทราบจุดยืนของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการเข้าร่วมประชุมให้ครบจำนวน และถือว่าได้ข้อเสนอของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว
โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ยื่นจดหมายและแสดงจุดยืนของตัวเองไปแล้วตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.56 ว่า ไม่เห็นด้วยและจะคัดค้านอย่างถึงที่สุด หากมีการตรากฎหมายผู้ที่กระทำความผิดทางอาญาและคดีทุจริตในทุกกรณี" ยกเว้นความผิดลหุโทษ เช่น การฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร(ซึ่งเป็นเฉพาะหัวข้อที่เห็นด้วยในการนิรโทษกรรมที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์) หากจะมีการนิรโทษกรรมดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบและปฏิบัติตามเงื่อนไขให้ครบจากทุกกลุ่มอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือถูกกระทำเกิดความเสียหายหรือสูญเสียจากการชุมนุม
"เมื่อหัวข้อการประชุมในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดหัวข้ออยู่เฉพาะการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่ก้าวไปไกลกว่านั้นโดยใช้คำว่า "การแสวงหาแนวทางบรรเทาความขัดแย้ง" ย่อมแสดงว่า รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่จำกัดขอบเขตตามที่ได้พูดกับผมและตามที่ปรากฏเป็นคำสัมภาษณ์ของนายเจริญ จรรย์โกมลเอง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2556 ว่าจะพิจารณาเฉพาะประเด็น "การฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ" ยังทำให้ทุกฝ่ายและสังคมมีความหวาดระแวงต่อไปว่าจะมีการออกฎหมายนิรโทษกรรมคดีอาญาร้ายแรงกลุ่มอื่นๆหรือคดีทุจริตต่อไปหรือไม่" นายปานเทพ กล่าว
โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า ตนเองได้ทำจดหมายเสนอต่อรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 มี.ค.56 ได้เขียนข้อเสนอเอาไว้ว่า หากท่านมีเจตนาดีต่อบ้านเมืองและไม่อยากเห็นความขัดแย้งระหว่างมวลชนนอกสภา ขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหานี้ โดยในระหว่างนี้ก็ควรจะต้องหยุดการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมทุกฉบับ และควรถอนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติทุกฉบับ ออกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบรรยากาศการปรึกษาหารือที่ดีโดยปราศจากความหวาดระแวง จึงขอให้ท่านได้แจ้งให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคเพื่อไทยได้ทราบในเรื่องดังกล่าวด้วย"
"สถานการณ์กลับเลวร้ายลงไปในทางตรงกันข้าม ยิ่งกว่านั้น เพราะนอกจากจะไม่เห็นแม้กระทั้ง "ท่าที" ว่าจะพิจารณาถอน พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลยังเข้าชื่อ 42 คนเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2556 อีกด้วย โดยให้นิรโทษกรรมรวมถึงผู้กระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงซึ่งรวมถึงหลายคนที่ขึ้นเวทีปราศรัยหรือสั่งการที่อาจได้รับประโยชน์โดยอ้างว่าตนไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการสั่งการ" นายปานเทพ กล่าว
โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า แสดงว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเหล่านั้นยังไม่ได้มีความคิดยึดแนวทางการให้อภัยจากผู้ที่ถูกกระทำ แต่ยังมีความต้องการให้กลุ่มและพวกพ้องของตนเองได้รับ "อภิสิทธิ์" ในการที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาร้ายแรงเหนือกว่าประชาชนกลุ่มคนอื่นๆ โดยไม่ฟังเสียงและไม่สนใจว่าจะมีการให้อภัยจากผู้ที่ถูกกระทำหรือไม่และโดยเงื่อนไขใด
"การลงโทษดังกล่าวย่อมไม่สามารถสร้างความปรองดองได้อย่างแน่นอน และจะเป็นบาดแผลร้าวลึกให้กับผู้ที่ถูกกระทำทั้งหมด โดยที่ผู้ที่กระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงไม่ต้องสำนึกในความผิดไม่ต้องได้รับบทเรียน ย่อมทำให้เกิดความย่ามใจกระทำซ้ำอีกหรือทำยิ่งกว่าเดิมเพราะมีบรรทัดฐานว่าถ้าเห็นว่าพวกตัวเองจะมีอำนาจในอนาคตก็จะกระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงได้ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้อาวุธสงคราม ปล้นลักทรัพย์ เผาสถานที่ราชการและของเอกชน ฯลฯ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็จะเป็นเยี่ยงอย่างให้กลุ่มอื่นๆ กระทำในมาตรฐานเดียวกันนี้หรือยิ่งกว่านี้อีกในอนาคตอย่างแน่นอน" นายปานเทพ กล่าว
การเสนอกฎหมายดังกล่าวย่อมแสดงว่า 1 ในกลุ่มผู้เจรจา คือ นปช. ที่มีอำนาจทางการเมืองในฐานะ ส.ส.ยังคงต้องการมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชนกลุ่มอื่นที่ได้รับการยกเว้นโทษโดยไม่ต้องพิสูจน์ความจริง และยังต้องการศักดิ์และสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนและกลุ่มอื่นๆ ที่มีส่วนได้เสียหรือได้รับผลกระทบจากการชุมนุมด้วย ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ ในการปรึกษาหารือ เพราะการปรึกษาหารือลักษณะแบบนี้ก็เสมือนเป็นการเจรจาโดยเอากระบอกปืนมาจ่อศีรษะคู่เจรจา ซึ่งไม่สามารถจะมีกลุ่มไหนที่จะมาเข้าร่วมปรึกษาหารือในบรรยากาศเช่นนี้ได้ และแสดงให้เห็นว่ากลุ่มส.ส.พรรคเพื่อไทย มิได้มีความจริงใจในการหาทางออกในเรื่องนี้บนการเจรจาจากคนที่มีส่วนได้เสียและผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม และไม่เคารพต่อคู่เจรจาและกระบวนการเจรจาแต่ประการใด
"ย่อมแสดงว่าพรรคเพื่อไทยและ ส.ส. 42 คนในฝ่ายรัฐบาล ไม่ได้เดินตามแนวทางของนายเจริญ จรรย์โกมล การเจรจาเช่นนี้จึงย่อมไม่สามารถหาทางออกได้ จนกว่ากลุ่ม นปช. และพรรคเพื่อไทยจะเห็นอย่างเป็นเอกภาพในการเลือกเดินตามแนวทางของ คอป.อย่างเคร่งครัดเท่านั้น และการแสดงความบริสุทธิ์ใจที่จะ "เริ่ม" นำไปสู่แนวทางขอ งคอป. โดยการมีส่วนร่วมและร่วมตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์จากทุกกลุ่มที่มีส่วนได้เสียหรือได้รับผลกระทบและปราศจากความหวาดระแวง และวิธีการที่ดีที่สุดประการหนึ่งก็คือ การแสดงความจริงใจ ด้วยการถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองฯ ออกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจากเหตุผลดังกล่าว