ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบนั้นยังระบุได้ไม่เพียงพอว่าจำเลยกระทำความผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย และพิพากษายกฟ้องในคดีวางเพลิง แต่จำเลยที่ 1 ศาลสั่งจำคุกในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นเวลา 1 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกจำเลยไว้ 9 เดือน แต่จำเลยถูกจำคุกมาเกินกำหนดโทษที่ศาลตัดสินแล้ว จึงต้องปล่อยตัวจำเลยไป
คดีนี้พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสายชล แพบัว อายุ 28 ปี เป็นจำเลยที่ 1 และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 26 ปี เป็นจำเลยที่ 2 ในความผิดร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นจนเป็นเหตุให้นายกิตติพงษ์ สมสุข ซึ่งอยู่ในอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ถึงแก่ความตาย และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหตุเกิดที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ที่มีการสลายการชุมนุมของ นปช.
ก่อนหน้านี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้พิพากษายกฟ้อง 2 เยาวชนที่เป็นจำเลยในคดีเดียวกันไปแล้ว เนื่องจากพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันกระทำความผิด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิง กทม. และเจ้าหน้าที่ รปภ.ซึ่งเป็นประจักษ์พยาน ไม่มีใครยืนยันได้ว่า เห็นจำเลยทั้งสองเป็นผู้ก่อเหตุ