ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งของการจากไปของนางแธตเชอร์ โดยโอบมากล่าวว่า แธตเชอร์นอกจากจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษแล้ว เธอยังเป็น "เพื่อนแท้" ของสหรัฐอเมริกาด้วย
ด้านประธานาธิบดีฟรองซัวส์ อัลลองด์ แห่งฝรั่งเศสกล่าวว่า การถึงแก่อสัญกรรมของแธ็ตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษนั้น นับเป็นการสูญเสียบุคคลผู้ยิ่งใหญ่" พร้อมกับแสดงความเสียใจด้วยความสุดซึ้งอย่างจริงใจ ต่อครอบครัวของนางแธ็ตเชอร์และเพื่อนผู้ใกล้ชิด
ขณะที่ นายจอหน์ เคอร์รี รมว.ต่างประเทศของสหรัฐ แสดงความเสียใจต่อการถึงแก่อสัญกรรมของแธตเชอร์ โดยยกย่องว่าเธอเป็น "มิตรอันเป็นที่รัก" ของสหรัฐ และเป็น"ผู้นำการการเปลี่ยนแปลง" ของโลก
ขณะที่นาย บัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยภายหลังข่าวการถึงแก่อสัญกรรมของอดีตนายกรัฐมตรีอังกฤษ ว่าแธตเชอร์จะเป็นที่จดจำในฐานะ"บุคคลสำคัญ"และ"ผู้นำที่แข็งแกร่งและมีความมุ่งมั่น"
โฆษกของนายบันเปิดเผยว่า นายบันยอมรับว่าแธตเชอร์เป็นเป็นผู้บุกเบิกในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ โดยกล่าวว่า เธอจะเป็นที่จดจำในฐานะบุคคลสำคัญและเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและมีความมุ่งมั่นในยุคการเมืองของอังกฤษรวมทั้งในระดับเวทีโลก
ขณะที่นายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคลแห่งเยอรมนีแสดงความเสียใจหลังทราบการถึงแก่อสัญกรรมของอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษ โดยกล่าวว่าแธตเชอร์เป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำที่โดดเด่นที่สุดในโลกแห่งการเมืองในยุคสมัยของเธอ
ทั้งนี้ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง "เพียงคนเดียว" ของอังกฤษ โดยเธอได้รับชัยชนะการเลือกตั้งในปี 2522 แธตเชอร์มีชื่อเสียงเพราะมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ในการทำงานท่ามกลางแวดวงการเมืองที่มีผู้ชายเป็นผู้กำหนด ความมุ่งมั่นที่โดดเดี่ยวเช่นนี้ได้ทำให้เธอได้รับการขนานนามว่า "หญิงเหล็ก"