โดยนายกฤษฎา จินะวิจารณะ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สศค. ชี้แจงข้อซักถามของนายวิทูรย์ นามบุตร กรรมาธิการในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ถึงความจำเป็นในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ว่า สศค.เห็นด้วยกับการลงทุนในโครงการดังกล่าว เพราะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ หลังจากไทยไม่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะปานกลางมานานแล้ว จนไทยถูกจัดอันดับที่ 38 ในการลงทุนในธนาคารโลก ซึ่งต่ำกว่าสิงคโปร์และมาเลเชีย โดยการดำเนินการจะคำนึงถึงการรักษาวินัยการเงินการคลัง เพื่อความยั่งยืนทางการเงินการคลัง จึงกำหนดไม่ให้มีความเสี่ยงมากเกินไปในเรื่องของวงเงิน ที่ตอนแรกตั้งไว้ที่ 4 ล้านล้านบาท เหลือเพียง 2 ล้านล้านบาท หรือไม่เกินร้อยละ 50 เพื่อรองรับเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง
นายวีระยุทธ ปั้นน่วม รองผู้อำนวยการ สงป.ชี้แจงข้อซักถามของนายกรณ์ จาติกวณิช กรรมาธิการในสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ กรณีข้อจำกัดในการใช้งบประมาณจากเงินกู้ 2 ล้านล้าน ว่า ตามปกติการดำเนินการหลายโครงการจะทำตามกระบวนการของงบประมาณแผ่นดิน แต่เมื่องบประมาณจากการกู้เงินครั้งนี้มีจำนวนสูงถึง 2 ล้านล้านบาท คณะรัฐมนตรีจึงมีมติกำหนดงบประมาณผูกพันข้ามปีเอาไว้ ตามสัดส่วนร้อยละ 60 ในปีแรก, ร้อยละ 40 ในปีที่ 2, ร้อยละ 20 ในปีที่ 3 และร้อยละ10 ในปีที่ 4 ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับรัฐบาลต่อไปที่จะเข้ามาบริหาร
นายวีระยุทธ ยังกล่าวถึงเหตุผลที่การลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมต้องใช้งบประมาณจากการกู้เงินว่า เพื่อความต่อเนื่องของการเดินหน้าโครงการ เนื่องจากหากกำหนดให้ใช้งบประมาณตามแผนปกติอาจเกิดการสะดุด หรือหยุดดำเนินการไปหากเปลี่ยนรัฐบาล แต่เมื่อเป็นเงินกู้โครงการก็จะเดินต่อเนื่องและสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องรอเริ่มตามงบประมาณแต่ละปี นอกจากนี้การจัดงบประมาณแผ่นดินแต่ละปี ตัวเลขงบประมาณมีความจำกัด อีกทั้งต้องดูหลายเรื่องประกอบกันในการจัดสรร อาทิ การศึกษา ความมั่นคง และสาธารณสุข ซึ่งหากจัดสรรงบประมาณลงไปที่การคมนาคมอย่างเดียว งบประมาณในส่วนอื่นก็จะถูกปรับลดหรือหายไป ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการขาดความสมดุล