สำหรับการบริหารจัดการสภาพคล่องของประเทศจะทำในลักษณะการตั้งรับ เมื่อสถาบันการเงินทั้งในภาคเอกชนและรัฐบาลเกิดสภาพคล่องส่วนเกิน ธปท.จะเข้าไปช่วยบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความสมดุล แต่หากการดำเนินการขาดวินัยทางการเงินการคลังอาจส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมซึ่งอยู่ที่ระดับ 5% ในระยะเวลา 7 ปี
ส่วนการกู้เงินตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นการกู้ภายในประเทศหรือต่างประเทศจะเกิดความคุ้มค่ากว่ากันนั้น นายประสาร กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการบริหารโครงการว่ามีความเสี่ยงมากหรือน้อย พร้อมประเมินว่าผลตอบแทนหรือการจัดเก็บรายได้มีความคุ้มค่าสอดคล้องกับการลงทุนหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยและระบบเศรษฐกิจในอนาคตว่าจะออกมาเป็นบวกหรือลบ
นอกจากนี้ ผู้ว่าการ ธปท.ยังมีความเห็นสอดคล้องกับผู้แทนจากสำนักบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) ที่ได้ประมาณการกู้เงินในช่วงระยะแรกเฉลี่ยไม่ถึงปีละ 3 แสนล้านบาท ระยะกลางประมาณการอยู่ที่ปีละ 3 แสนล้านบาท และระยะท้ายของโครงการเฉลี่ยการใช้จ่ายงบประมาณจะอยู่ที่ปีละเกือบ 3 แสนล้านบาท ดังนั้นการดำเนินการของโครงการในลักษณะดังกล่าวจะไม่กระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและสภาพคล่องของประเทศ
ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวภายหลังชี้แจงต่อ กมธ.เสร็จแล้วว่า ทาง ธปท.ได้มีการติดตามสถานการณ์ราคาสินทรัพย์อย่างเสมอ แต่ราคาสินทรัพย์มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด คาดว่าปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนนี้จะมีตัวเลขที่ชัดเจนเกี่ยวกับเศรษฐกิจไตรมาส 1 ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์ มองว่าจะมีความร้อนแรงเป็นบางจุด โดยเป็นเหตุผลทางพื้นฐานที่มาจากการสร้างสาธารณูปโภค การขยายตัวทางตัวเมือง รวมถึงแผนในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ทาง ธปท.ก็พยายามเน้นไปที่ผู้ที่ปล่อยสินเชื่อ โดยให้ทางธนาคารพาณิชย์พยายามรักษาคุณภาพเอาไว้
ส่วนกรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง จะเรียกภาคเอกชนมาร่วมหารือกับ ธปท.และ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันที่ 13 พ.ค.นั้น นายประสาร กล่าวว่า เพิ่งรับทราบเบื้องต้นเท่านั้น แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดในการประชุมดังกล่าว
ด้านนายกรณ์ จาติกวนิช รองประธาน กมธ.ฯ พร้อมทั้งกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมในช่วงเช้าว่า หลังเชิญผู้ว่าการ ธปท.มาให้ข้อมูลถึงระบบเศรษฐกิจและผลกระทบต่อการกู้ยืมเงิน 2 ล้านล้านบาท ก็ได้มีคำแนะนำเกียวกับแนวทางการกู้ยืมเงินให้ควรทยอยกู้เป็นรายปี เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลกระทบสภาพคล่อง ซึ่งทาง ธปท.ก็จะมีนโยบายตั้งรับให้เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจ เมื่อสถาบันการเงินเกิดสภาพคล่องส่วนเกิน อีกทั้งจะมีการประเมินผลตอบแทน หรือการจัดเก็บรายได้ ความคุ้มค่าสอดคล้องกับการลงทุน และผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม กมธ.ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งข้อสังเกตุถึงการตั้งงบประมาณการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการที่พบว่ามีงบประมาณที่สูงเกินความเป็นจริง โดยมีการตั้งงบศึกษาไว้กว่า 43,000 ล้านบาท ดังนั้นในช่วงบ่ายจะมีการหารือถึงงบประมาณดังกล่าวว่าจะสามารถปรับลดลงอีกได้หรือไม่