อย่างไรก็ตามเกินครึ่งเล็กน้อย คือ ร้อยละ 50.4 ระบุโครงการจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีมีความโปร่งใส ร้อยละ 51.2 ปรับเงินเดือนผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท และร้อยละ 51.4 ระบุการปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพรายเดือนแบบขั้นบันไดสำหรับผู้สูงอายุ ในขณะที่ร้อยละ 27.2 คิดว่าไม่มีโครงการไหนเลยที่โปร่งใส
ที่น่าสนใจคือ กลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมดหรือร้อยละ 94.8 เห็นด้วยที่ประชาชนควรมีส่วนรวมการประเมินการทำงานของรัฐบาลด้านต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ระบุควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการประเมินทุกโครงการของรัฐบาล มีเพียงร้อยละ 5.2 ระบุไม่เห็นด้วย
ขณะที่ข่าวที่ประชาชนอยากทราบหรือได้ยิน พบว่า ห้าอันดับแรกของข่าวที่ประชาชนอยากติดตาม คือ อันดับแรก ร้อยละ 90.2 อยากทราบหรือได้ยินข่าวเกี่ยวกับความเป็นผู้นำ เสียสละ และความโปร่งใสของฝ่ายการเมืองในการจัดทำโครงการต่างๆ อาทิ โครงการรับจำนำข้าว เงินกู้ของรัฐบาล โครงการการจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เป็นต้น รองลงมา ร้อยละ 88.1 อยากได้ยินข่าวความสงบสุขในสามจังหวัดชายแดนใต้ ร้อยละ 85.4 ระบุข่าวความสงบสุขของประเทศชาติบ้านเมือง ร้อยละ 83.0 ระบุข่าวเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่ดีขึ้น และร้อยละ 82.4 ระบุข่าวการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ อาทิ การศึกษา สาธารณูประโภค ตามลำดับ
กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จันทบุรี กาญจนบุรี ปทุมธานี ชลบุรี น่าน พิษณุโลก เชียงใหม่ มุกดาหาร นครพนม ชัยภูมิ ศรีสะเกษ อุดรธานี ขอนแก่น ภูเก็ต ตรัง และ สงขลา จำนวนทั้งสิ้น 1,507 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25 — 28 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา
นางสาวปุณฑรีก์ กล่าวว่า รัฐบาลจะโฆษณาชวนเชื่อว่า รัฐบาลทำงานโปร่งใสเพียงอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะสาธารณชนต้องการเห็น “วิธีการ" ที่นำไปสู่การทำงานของรัฐบาลอย่างโปร่งใสมากกว่าคำพูดชี้นำ ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นโอกาสที่สำคัญที่รัฐบาลควรเปิดพื้นที่ให้กับทุกภาคส่วนในสังคมร่วมเป็น “หุ้นส่วนประเทศไทย" ในการรับรู้รับทราบการใช้จ่ายงบประมาณทุกเม็ดเงินของรัฐบาล และรายละเอียดของการบริหารราชการแผ่นดินทั้งโดยภาพรวมและรายพื้นที่
อีกทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการประเมินผลการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐและการบริหารประเทศของรัฐบาลในทุกระดับ โดยผลของการประเมินเป็น “ส่วนประกอบ" การพิจารณาจัดสรรงบประมาณและการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่าการใช้อำเภอใจของฝ่ายการเมืองและการวิ่งเต้นของเจ้าหน้าที่รัฐ คณะวิจัยจึงเชื่อมั่นว่าแนวทางทั้งสองนี้น่าจะทำให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง